๑. มีลักษณะเหมีอนกันหรือต่างกันหรือไม่ อย่างไรคะ?
๒. เวลาที่สติเกิดระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริง จิตขณะนั้นประกอบด้วยอัตตสัญญาหรือไม่คะ?
ขอบพระคุณค่ะ
อัตตสัญญา คือ ความทรงจำว่าเป็นตัวตน หมายถึงขณะที่เป็นอกุศล ขณะที่สติเกิดไม่มีอัตตสัญญา อุปาทานสัญญาข้อความนี้ยังไม่เคยพบ
อัตตสัญญา คือ ความจำด้วยการยึดถือว่าเป็นตัวตน ทุกคนมีอัตตสัญญา เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล จึงดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ แต่ก่อนที่สติจะเกิดและปัญญาศึกษาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งรู้ชัดประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนได้นั้น ก็จะต้องมีอัตตสัญญา
เมื่อสติไม่เกิด จึงไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทวารตามความเป็นจริง จึงเห็นผิดยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏรวมกันเป็นอัตตา คือเป็นตัวตนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อไม่รู้ความจริงเป็นสภาพธรรมขณะนี้ ก็มีอัตตสัญญา มีความทรงจำว่าเป็นเราที่เห็น และจำว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนต่างๆ
ปัญญาที่เกิดจากการฟังไม่ประจักษ์แจ้งว่าสิ่งที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสัตว์นั้น แท้จริงเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น
ฉะนั้น การฟังพระธรรม การศึกพระธรรมต้องพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ใคร่ครวญอย่างละเอียด จนกระทั่งเข้าใจคำที่แสดงลักษณะของสภาพธรรม เช่นคำว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตา” นั้นเป็นคำที่ถูกต้องที่สุด เพราะแสดงว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่ปรากฏได้ทางตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีขาว สีใส สีขุ่น ก็ต้องปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท เมื่อเห็นแล้วไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงมีอัตตสัญญาว่าเป็นคน สัตว์ วัตถุต่างๆ ขณะที่สนใจในสีต่างๆ นั้น ทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐาน เกิดความทรงจำในรูปร่างสัณฐาน จึงเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ ซึ่งรูปร่างที่เห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ นั้น ก็ต้องมีหลายสี เช่น สีดำ สีขาว สีเนื้อ สีแดง สีเหลือง เป็นต้น ถ้าไม่จำหมายสีต่างๆ เป็นรูปร่างสัณฐาน ความสำคัญหมายว่าเป็นสัตว์ บุคคล วัตถุต่างๆ ก็มีไม่ได้
ขณะใดที่เห็นแล้วสนใจ เพลินในนิมิตคือ รูปร่างสัณฐาน และอนุพยัญชนะคือ ส่วนละเอียดของสิ่งที่ปรากฏ ให้ทราบว่าขณะนั้นเพราะสีปรากฏ จึงทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐานและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ขึ้น เมื่อใดที่สติเกิดระลึกรู้และปัญญาเริ่มศึกษาพิจารณา ก็จะเริ่มรู้ว่านิมิตและอนุพยัญชนะทั้งหลายซึ่งเป็นสีต่างๆ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น
นี้คือปัญญาที่เริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เมื่อสติเกิดระลึกรู้สึกเนืองๆ บ่อยๆ ก็จะเข้าใจอรรถที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ (ด้วยการอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความจริง) และเริ่มละคลายอัตตสัญญา ในสิ่งที่ปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามขั้นของปัญญาที่เจริญขึ้น
ฉะนั้นจะต้องรู้ว่า ไม่ว่าพระไตรปิฎกจะกล่าวถึงข้อความใดพยัญชนะใด ก็เป็นเรื่องสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งสติจะต้องระลึกและพิจารณาให้เข้าใจ จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
เป็นเรื่องที่ทุกๆ ท่านจะค่อยๆ ฟังไป ศึกษาไป พิจารณาไป ตามปรกติในสภาพที่เป็นชีวิตจริงๆ เพราะยังไม่สามารถที่จะดับกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ซึ่งหลายคนอยากจะดับให้หมด
ต้องรู้ว่ากิเลสจะดับได้ ก็ต่อเมื่อโลกุตตรมัคคจิตเกิดขึ้นดับสักกายทิฏฐิ คือ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันก่อน แล้วปัญญาจึงจะเจริญขึ้นจนรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ตามลำดับ
จึงจะต้องอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่มุ่งหน้ารีบร้อนที่จะไปปฏิบัติเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี โดยไม่เข้าใจเหตุปัจจัยว่า สติที่เป็นสัมมาสติซึ่งเป็นมรรคมีองค์ ๘ นั้น จะเกิดได้เมื่อศึกษาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จริงๆ เสียก่อน แล้วสัมมาสติจึงจะเกิดระลึกได้ และปัญญาเริ่มศึกษาพิจารณา จนประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามปรกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาครับ