[เล่มที่ 19] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 410
๘. โกสัมพิยสูตร
เรื่องพระเถระวิวาทกัน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 19]
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 410
๘. โกสัมพิยสูตร
เรื่องพระเถระวิวาทกัน
[๕๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ณ พระวิหารโฆสิตารามเขตพระนครโกสัมพี.
สมัยนั้น พวกภิกษุในเมืองโกสัมพีเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ปรับความเข้าใจกัน ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ทําให้ปรองดองกัน ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ขอประทานพระวโรกาส พวกภิกษุในเมืองโกสัมพี เกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ไม่ปรับความเข้าใจกัน ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ทําให้ปรองดองกัน ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาแล้วรับสั่ง ว่า "ภิกษุ เธอจงมา เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาตามคําของเราว่าพระศาสดาของพวกเรารับสั่งให้หาพวกท่านผู้มีอายุ."
ภิกษุรูปนั้นทูลรับพระดํารัสพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า" ดังนี้แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้วบอกว่า พระศาสดารับสั่งให้หาท่านผู้มีอายุทั้งหลาย."
ภิกษุเหล่านั้นรับคําภิกษุนั้นว่า "อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ" ดังนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 411
[๕๔๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า "ภิกษุทั้งหลาย! ได้ยินว่าพวกเธอเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ปรับความเข้าใจกันไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ทําให้ปรองดองไม่ปรารถนาความปรองดองกัน จริงหรือ."
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสําคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมัยใด พวกเธอเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้น พวกเธอเข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรมในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง บ้างหรือหนอ."
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า "ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใดพวกเธอเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่สมัยนั้นพวกเธอมิได้เข้าไปตั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลังโมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้น พวกเธอรู้อะไรเห็นอะไรจึงเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ปรับความเข้าใจกัน ไม่ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ทําให้ปรองดองกัน ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน โมฆบุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละจักมีเพื่อไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์แก่เธอทั้งหลายตลอดกาลนาน".
เรื่องสาราณิยธรรม ๖ ประการ
[๕๔๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรัก
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 412
กัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน ๖ ประการเป็นไฉน. ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้เข้าไปตั้งกายกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกันทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน".
"ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน".
"ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน".
"ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีลาภเกิดขึ้นโดยธรรม ได้มาโดยธรรม ที่สุดเป็นลาภสักว่าอาหารที่เนื่องในบาตรก็บริโภคโดยไม่เกียดกันไว้เพื่อตน บริโภคเป็นสาธารณะกับเพื่อนสพรหมจารีผู้มีศีล ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกันทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน"
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 413
"ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีศีลไม่ขาดไม่เป็นช่องไม่ด่างไม่พร้อยเป็นไทยอันท่านผู้รู้สรรเสริญ อันตัณหาเป็นต้นไม่ครอบงํา เป็นไปเพื่อสมาธิ ถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันในศีลเช่นนั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้งและในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน".
ภิกษุทั้งหลายอีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีทิฏฐิอันไกลจากข้าศึกเป็นนิยยานิกธรรม อันนําออกซึ่งบุคคลผู้ทําตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ถึงความเป็นผู้เสมอด้วยทิฏฐิเช่นนั้นกับเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับอยู่ ธรรมแม้นี้เป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ทําความรักกัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน".
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้แล เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันทําความรักกัน ทําความเคารพกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นพวกเดียวกัน ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึกเป็นนิยยานิกธรรม นําออกซึ่งบุคคลผู้ทําตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบนี้เป็นยอดยึดคุมธรรม ๖ ประการนี้ที่เป็นเหตุให้ระลึกถึงกันไว้ดังว่าเป็นยอดยึดคุมกูฏาคารไว้ฉะนั้น".
[๕๔๓] ภิกษุทั้งหลาย! ก็ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นําออกซึ่งบุคคลทําตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปสู่ป่าก็ดีไปสู่โคนต้นไม้ก็ดีไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดีย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้วไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 414
เรายังละไม่ได้มีอยู่หรือหนอ. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียวเป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกหน้า ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว และเกิดขัดใจทะเลาะวิวาททิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้วไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริงปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้แล้ว มิได้มีเลย จิตเราตั้งไว้ดีแล้วเพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย นี้ญาณที่๑ เป็นอริยะเป็นโลกุตตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว".
[๕๔๔] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่งอิรยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เมื่อเราเสพ เจริญ ทําให้มากซึ่งทิฏฐินี้ย่อมได้ความระงับเฉพาะตนย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตนหรือหนอ อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อเราเสพ เจริญ ทําให้มากซึ่งทิฏฐินี้ย่อมได้ความระงับเฉพาะตน ย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตน นี้ญาณที่๒ เป็นอริยะเป็นโลกุตตระไม่ทั่วไปกับปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว."
[๕๔๕] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มีอยู่หรือหนอ อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 415
นี้ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มิได้มีนี้ญาณที่ ๓ เป็นอริยะเป็นโลกุตตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว".
[๕๔๖] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่งอริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยธรรมดาเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิคือความออกจากอาบัติเช่นใดย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อมต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้ถึงอย่างนั้น อริยสาวกนั้นรีบแสดง เปิดเผย ทําให้ตื้น ซึ่งอาบัตินั้นในสํานักพระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีที่เป็นวิญูชนทั้งหลาย ครั้นแสดงเปิดเผย ทําให้ตื้นแล้ว ก็ถึงความสํารวมต่อไป เปรียบเหมือนกุมารที่อ่อนนอนหงายถูกถ่านไฟ ด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้วก็ชักหนีเร็วพลัน ฉะนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยธรรมดาเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้นนี้ญาณที่๔ เป็นอริยะเป็นโลกุตตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว".
[๕๔๗] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่งอริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยธรรมดาเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมดาอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คืออริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทําอยู่ซึ่งไร ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขาอธิจิตตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย ชําเลืองดูลูกด้วย ฉะนั้น อริยสาวกนั้นย่อมรู้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 416
ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชนอันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว".
[๕๔๘] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่งอริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ. ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยพละอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คืออริยสาวกนั้นเมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ฉันบัณฑิตแสดงอยู่ทําให้มีประโยชน์ทําไว้ในใจกําหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตฟังธรรม อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผูถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยพละเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น นี้ญาณที่ ๖ เป็นอริยะ เป็นโลกุตตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว".
[๕๔๙] "ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่งอริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยพละเช่นใดถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย! ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยพละอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย! พละนี้ของบุคคลผูถึงพร้อมด้วยทิฏฐิคืออริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วอันบัณฑิตแสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น นี้ญาณที่ ๗ เป็นอริยะ เป็นโลกุตตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว"
[๕๕๐] "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาอันอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์๗ ประการอย่างนี้ตรวจดูดีแล้วด้วยการทําให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 417
ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้เพรียบพร้อมด้วยโสดาปัตติผล ฉะนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.
จบ โกสัมพิยสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 418
อรรถกถาโกสัมพิยสูตร
โกสัมพิกสูตรมีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า "ใกล้กรุงโกสัมพี" ความว่า ใกล้พระนครมีชื่ออย่างนี้. ทราบว่าได้มีต้นเล็บเหยี่ยวอย่างหนาแน่นในที่มีสวนและสระโบกขรณีเป็นต้นเหล่านั้นๆ แห่งพระนครนั้น เพราะฉะนั้น พระนครนั้นได้ถึงการนับว่าโกสัมพี. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่าโกสัมพีเพราะฤาษีชื่อกุสัมพะให้สร้างไว้ไม่ไกลจากอาศรม. บทว่า "โฆสิตาราม" ได้แก่อารามที่โฆสิตเศรษฐีให้สร้างไว้.
ได้ยินว่า ในครั้งก่อนได้มีแว่นแคว้นชื่อว่าอทิละลําดับนั้น คนเข็ญใจคนหนึ่งชื่อโกตุหลิกก็เพราะเกิดฉาตกภัยจึงพร้อมด้วยบุตรและภรรยาไปแว่นแคว้นที่กําหนดตามคันนา เมื่อไม่อาจจะพาบุตรไปได้ จึงทิ้งแล้วไปมารดาได้กลับมาอุ้มบุตรนั้นไป. ทั้งสองคนนั้นเข้าไปยังบ้านผู้เลี้ยงโคหลังหนึ่ง. ก็ครั้งนั้น คนทั้งหลายได้จัดแจงข้าวปายาสอย่างมากไว้เพื่อผู้เลี้ยงโคทั้งหลาย สามีภรรยาทั้งสองนั้นได้ข้าวปายาสจากบ้านนั้นบริโภคแล้วขณะนั้น เมื่อบุรุษนั้นบริโภคข้างปายาสมากไม่อาจจะให้ย่อยได้ตายลงตอนกลางคืน ถือปฏิสนธิเกิดเป็นลูกสุนัขในท้องของสุนัขตัวเมียในบ้านนั้น. ลูกสุนัขนั้นได้เป็นที่รัก ที่โปรดปรานของผู้เลี้ยง. ก็ผู้เลี้ยงโคได้บํารุงพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่. ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็ให้ก้อนข้าวก้อนหนึ่งแก่ลูกสุนัขนั้น. มันทําความรักให้เกิดในพระปัจเจกพุทธเจ้าไปบรรณศาลากับผู้เลี้ยงโค. เมื่อผู้เลี้ยงโคไม่ได้ตระเตรียม ลูกสุนัขนั้นก็ไปในเวลาฉันด้วยตนเองแล้วเห่าที่ประตูบรรณศาลา เพื่อจะบอกเวลา แม้เมื่อเห็นเนื้อร้ายระหว่างทางก็เห่าให้หนีไป. ลูกสุนัขนั้น มีจิตอ่อนโยนในพระปัจเจก-
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 419
พุทธเจ้า ตายแล้วเกิดในเทวโลก. ครั้งนั้นเทพบุตรนั้นได้มีชื่อว่าโฆสกเทพบุตร. เมื่อเคลื่อนจากเทวโลกได้เกิดในเรือนตระกูลหลังหนึ่งในกรุงโกสัมพีเศรษฐีเป็นผู้ไม่มีบุตรจึงให้ทรัพย์แก่บิดามารดาของเด็กนั้น พามาเป็นบุตร.
ลําดับนั้น เมื่อบุตรของตนเกิด เศรษฐีนั้นได้พยายามเพื่อจะฆ่าถึงเจ็ดครั้ง. เด็กนั้น เพราะตนมีบุญไม่ถึงความตายในที่ ๗ แห่งครั้งสุดท้ายได้ชีวิตเพราะความฉลาดของธิดาเศรษฐีคนหนึ่ง. ต่อมา เมื่อบิดาล่วงไปจึงได้ตําแหน่งเศรษฐีชื่อว่าโฆสิตเศรษฐี. ในกรุงโกสัมพี มีเศรษฐีอื่นอยู่แล้ว๒ คน คือกุกกุฏเศรษฐี ๑ ปาวาริกเศรษฐี ๑ รวมโฆสิตเศรษฐีนี้เข้าด้วยจึงมี ๓ คน.
ครั้งนั้น พวกเศรษฐีผู้เป็นสหายกันนั้นมีฤาษี ๕๐๐ เป็นชีต้นอยู่เชิงภูเขา. บางครั้ง บางคราว พวกฤาษีนั้นจะมาถิ่นของมนุษย์เพื่อต้องการเสพรสเค็มและเปรี้ยว. คราวหนึ่งในฤดูร้อน เมื่อไปถิ่นมนุษย์ได้ก้าวถลําที่กันดารอย่างมาก หาน้ำมิได้เมื่อสุดที่กันดารแล้วเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง คิดกันว่า "ในต้นไม้นี้น่าจะมีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่สิงอยู่แน่ จะเป็นความดีหนอถ้าเทวดานั้นจะพึงให้น้ำดื่มและของควรบริโภคแก่พวกเรา". เทวดารู้อัธยาศัยของพวกฤาษีนั้น จึงคิดว่า "เราจะสงเคราะห์พวกฤาษีนี้" ด้วยอานุภาพตน จึงบันดาลให้สายน้ำประมาณงอนไถ ไหลจากระหว่างคบไม้ หมู่ฤาษีเห็นเกลียวน้ำเหมือนลําแท่งเงิน จึงเอาภาชนะของตนตักน้ำบริโภคพากันคิดว่า "พวกเราเทวดาให้น้ำดื่ม ก็ป่าใหญ่นี้ไม่มีหมู่บ้าน จะพึงเป็นความดีหนอ ถ้าเทวดาจะให้อาหารแม้แก่พวกเรา. เทวดาจึงให้ข้าวต้มและของขบเคี้ยวที่เป็นทิพย์เป็นต้นให้อิ่มหนําแล้วด้วยอํานาจการเข้าไปสําเร็จแก่พวกฤาษี. พวกฤาษีต่างพากันคิดว่า "พวกเราเทวดาให้ของทุกอย่าง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 420
ไม่ว่าเป็นน้ำดื่มและอาหาร ถ้าเทวดาจะพึงแสดงตนแก่พวกเราก็จะดีหนอ.พวกฤาษีนั้นจึงกล่าวว่า ท่านเทวดา สมบัติของท่านมาก ทํากรรมอะไรไว้จึงบรรลุสมบัตินี้"
ท. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทํากรรมนิดหน่อยไม่ใหญ่โตอะไร
ก็เทวดาอาศัยอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่งจึงได้สมบัตินั้น.
ได้ยินว่าครั้งนั้น เทพบุตรนี้ได้เป็นคนตนในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกะ. เพราะว่าในเรือนของเศรษฐี ทุกวันอุโบสถคนทั้งหมดโดยที่สุดทาสและคนงานก็เป็นผู้รักษาอุโบสถ. วันหนึ่งคนงานนี้ผู้เดียวเท่านั้น ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ไปทํางาน. มหาเศรษฐีเมื่อได้กําหนดมนุษย์ผู้ที่ควรจะได้อาหารทั้งหลายได้รู้ว่า "เขาคนเดียวเท่านั้นไปป่าเสียแล้ว" จึงได้ให้จัดอาหารไว้เพื่อเวลาเย็น. หญิงรับใช้ผู้เป็นแม่ครัวหุงข้าวเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น เมื่อเขากลับจากป่าจึงได้คดข้าวไปให้. คนงานจึงกล่าวว่า "เวลานี้วันอื่นๆ ทั้งเรือนได้มีเสียงอย่างเดียววันนี้เงียบสนิทเหลือเกิน นี่เหตุอะไรหนอแล". แม่ครัวนั้น บอกแก่เขาแล้วว่า วันนี้ในเรือนนี้คนทั้งหมดเป็นผู้รักษาอุโบสถ มหาเศรษฐีได้ให้จัดอาหารเฉพาะท่านผู้เดียว"
ก. จริงหรือแม่.
ท. จริงจะ.
ก. ผู้สมาทานอุโบสถเวลานี้จะเป็นอุโบสถกรรมหรือไม่ แม่ท่านจงถามมหาเศรษฐีอย่างนี้เถิด".
มหาเศรษฐีถูกหญิงรับใช้ไปถามจึงกล่าวว่า "ไม่เป็นอุโบสถทั้งหมดหรอก แต่จะเป็นอุโบสถกึ่งหนึ่ง เขาจงรักษาอุโบสถเถิด." คนงานนั้นจึงไม่บริโภคอาหาร บ้วนปากรักษาอุโบสถไปที่อยู่ของตน แล้วนอนเมื่อเขามีร่างกายสิ้นอาหาร ลมได้กําเริบแล้วในกลางคืน ตายเวลาเช้า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 421
มืดเกิดเป็นเทพบุตรที่ต้นไทรในดงไทรใหญ่ เพราะผลเป็นเครื่องไหลแห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง เทพบุตรนั้น บอกความเป็นไปนั้นแก่พวกฤาษี.
ฤ. ท่านประกาศบอกสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ว่าพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ให้ได้ยินว่า "พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือหนอ.
ท. ทรงอุบัติขึ้นแล้วครับท่านผู้เจริญ.
ฤ. บัดนี้ประทับอยู่ที่ไหน
ท. ทรงอาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่ในพระเชตวัน ท่านผู้เจริญ.
ฤ. ท่านจงหยุดูก่อนเถิด พวกข้าพเจ้าจักเฝ้าพระศาสดา ต่างร่าเริงยินดี ออกไปถึงพระนครโกสัมพีโดยลําดับ. พวกมหาเศรษฐีทราบว่าฤาษีทั้งหลายมาแล้วจึงต้อนรับแล้วว่า ท่านขอรับ. พรุ่งนี้ขอจงรับภิกษาของพวกข้าพเจ้า ครั้งถึงวันรุ่งขึ้นก็ได้ถวายมหาทานแก่คณะฤาษี.พวกฤาษีฉันแล้วจึงถามกันว่า พวกเราจะไปกันนะ.
ศ. ท่านผู้เจริญ. พระคุณเจ้าเวลาอื่นละก็พักอยู่เดือน ๑ บ้าง ๒เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง ๔ เดือนบ้างจึงจะไป แต่ครั้งนี้มาเมื่อวานนี้กล่าวว่า พวกเราจะไปวันนี้จริงๆ นี้เหตุอะไร.
ฤ. ใช่แล้ว ท่านคฤหบดี. พระพุทธเจ้าทรงอุบัติในโลกแล้ว เราไม่สามารถรู้อันตรายชีวิตได้เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงรีบไป.
ศ. ท่านครับ ถ้าเช่นนั้น แม้พวกข้าพเจ้าก็จะไปด้วยขอพวกท่านจงไปรวมกับพวกข้าพเจ้าเถิด.
ฤ. พวกท่านชื่อว่า เป็นมหาชนอยู่ครองเรือน จงหยุดก่อน พวกข้าพเจ้าจะไปก่อน ดังนี้พากันออกไป ไม้พักที่หนึ่งเกิน ๒ วัน ได้ไปอย่าง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 422
รีบร้อนนั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีแล้วจึงมาสํานักพระศาสดาในพระเชตวันวิหาร. ทั้งหมดนั่นเทียว ฟังธรรมกถาอย่างไพเราะในที่นั้น บวชแล้วได้บรรลุพระอรหัต.
ฝ่ายเศรษฐีทั้ง ๓ ขับเกวียนไปคนละ ๕๐๐ เล่มบรรทุกเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อยและผ้าเปลือกไม้เป็นต้น ออกจากกรุงโกสัมพีถึงเมืองสาวัตถีโดยลําดับ ผูกค่ายใกล้พระเชตวัน พากันไปสํานักพระศาสดาถวายบังคมทําปฏิสันถารแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาได้ตรัสธรรมกถาอย่างไพเราะแก่สหายแม้ทั้ง ๓. พวกเศรษฐีเหล่านั้นเกิดโสมนัสอย่างแรง ทูลนิมนต์พระศาสดา วันรุ่งขึ้นได้ถวายมหาทาน. พวกเขาถวายแล้วทุกวันรุ่งขึ้นๆ รวมความแล้วได้ถวายอย่างนี้ตลอดครึ่งเดือนทีเดียว หมอบที่ใกล้พระบาทกราบทูลว่า "ขอพระองค์จงประทานปฏิญาณเพื่อเสด็จมาชนบทของพวกข้าพระองค์." พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คฤหบดีทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมยินดีอย่างยิ่งในเรือนอันว่างเปล่า". พวกคฤหบดีต่างกําหนดกันว่า "เหตุเท่านี้ ก็เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานปฏิญาณแล้ว" แล้วคิดว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทานปฏิญาณแก่พวกเราแล้ว ถวายบังคมพระทศพลออกไปให้สร้างวิหารทุกๆ หนึ่งโยชน์ระหว่างหนทางถึงกรุงโกสัมพีโดยลําดับ ต่างพากันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติในโลกแล้ว. ฝ่ายเศรษฐีทั้ง ๓ บริจาคทรัพย์จํานวนมากในอารามของตน ให้สร้างวิหารสําหรับเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เศรษฐีทั้ง ๓ นั้น กุกกุฏเศรษฐีให้สร้างกุกกุฏาราม.ปาวาริกเศรษฐีให้สร้างปาวาริกัมพวัน ในป่ามะม่วง. โฆสิตเศรษฐีให้สร้างโฆสิตาราม. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาโฆสิตารามนั้น จึงตรัสว่า ในอารามที่โฆสิตเศรษฐีให้สร้างไว้.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 423
ในบทเป็นต้นว่า "เกิดความบาดหมาง" ควรทําวิเคราะห์ว่า เบื้องต้นแห่งความทะเลาะชื่อว่าความบาดหมาง ความบาดหมางนั้นเกิดแก่ภิกษุเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า มีความบาดหมางเกิด. การทะเลาะที่ถึงที่สุดด้วยอํานาจการประมือเป็นต้น เกิดแก่ภิกษุเหล่านั้น เหตุนั้น ชื่อว่าผู้มีความทะเลาะเกิดแล้ว.
สองบทว่า "วาทะที่ผิดกัน" ความว่า ภิกษุเหล่านั้น ถึงการวิวาทนั้น เหตุนั้น ชื่อว่าถึงการกล่าวต่างกัน. บทว่า "ด้วยหอกคือปาก" ได้แก่ ด้วยหอกคือวาจาทั้งหลาย.
บทว่า "เจาะอยู่" คือ แทงอยู่.
หลายบทว่า "ภิกษุเหล่านั้นไม่ยังกันและกันให้ยินยอม และไม่เข้าถึงความยินยอม" ความว่า ภิกษุเหล่านั้น แสดงเหตุผลแล้วไม่ยินยอมกันและกัน. อธิบายว่า ถ้าปรารถนาจะให้กันและกันยินยอมไซร้. พวกเธอก็จะไม่เข้าถึงความยินยอมแม้อย่างนั้น (ทั้ง) ไม่ปรารถนาเพื่อจะยินยอม. แม้ในการเพ่งเล็งก็นัยนี้. คําว่า เห็นในคําว่า เพ่งเล็งนั้น เป็นไวพจน์ของคําว่า "รู้พร้อม"
ทราบว่า ภิกษุ ๒ รูป คือ พระฝ่ายทรงวินัยและพระฝ่ายทรงพระสูตร อยู่วัดเดียวกัน. ทั้ง ๒ รูปนั้นภิกษุฝ่ายทรงพระสูตร วันหนึ่งเข้าเวจกุฎีเหลือน้ำสําหรับล้างไว้ในภาชนะแล้วออกไป ภิกษุผู้ทรงวินัยเข้าไปภายหลัง เห็นน้ำนั้น ออกมาแล้วถามภิกษุนั้นว่า คุณ น้ำนี้คุณเหลือไว้หรือ.
ส. ใช่ คุณ.
ว. ท่านไม่รู้ว่าเป็นอาบัติในเพราะเหตุนั้นหรือ.
ส. ครับ ไม่ทราบ.
ว. ช่างเถอะคุณ เป็นอาบัติในข้อนี้.
ส. ถ้ามีผมจะแสดง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 424
ว. คุณ ก็ถ้าคุณไม่จงใจทําลงไปเพราะขาดสติ คุณก็ไม่เป็นอาบัติ.
ภิกษุผู้ทรงพระสูตร ได้เป็นผู้เห็นว่า ไม่เป็นอาบัติในสิ่งที่เป็นอาบัติ. ภิกษุผู้ทรงวินัย จึงบอกแก่พวกนิสิตของตนว่า ท่านผู้ทรงพระสูตรนี้ แม้ต้องอาบัติก็ยังไม่รู้". พวกภิกษุนิสิตของภิกษุฝ่ายวินัย เห็นพวกนิสิตของภิกษุผู้จําพระสูตรจึงกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ. ภิกษุผู้นิสิตของภิกษุผู้ทรงจําพระสูตรเหล่านั้น จึงไปบอกแก่อุปัชฌาย์ของตน. ภิกษุผู้ทรงจําพระสูตรจึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระวินัยธรนี้ ครั้งก่อนกล่าวว่าไม่เป็นอาบัติ บัดนี้กล่าวว่าเป็นอาบัติเขาเป็นคนกล่าวเท็จ". พวกนิสิตของภิกษุผู้ทรงพระสูตรจึงไปกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านกล่าวเท็จ ดังนี้แพร่ความทะเลาะไปสู่กันและกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาความทะเลาะนั้น จึงตรัสคํานี้ไว้.
บทว่า "ได้กราบทูลอย่างนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้า" ความว่าได้กราบทูลคําเบื้องต้นนั้นว่า พระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ขอประทานโอกาส พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีเกิดความบาดหมางกันแล้ว. ก็ภิกษุนั้นไม่ได้กล่าวคํานั้น เพราะประสงค์เป็นที่รัก ทั้งไม่ได้กล่าวเพราะต้องการการแตกแยก แต่ที่แท้เพราะต้องการประโยชน์ (และ) ความเกื้อกูล.
นัยว่า ภิกษุนี้เป็นผู้ทําให้เกิดสามัคคีกัน ฉะนั้น จึงได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ปรารภการบาดหมางและวิวาท อย่างที่เราและภิกษุอื่นก็ไม่อาจทําให้พร้อมเพรียงกันได้แม้ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงไม่มีผู้เปรียบในโลกพร้อมทั้งเทวโลกเสด็จไปเอง หรือว่ารับสั่งให้เรียกมาสํานักของพระองค์ตรัสธรรมเทศนาเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ประกอบด้วยขันธ์และเมตตาแก่ภิกษุเหล่านั้น ก็จะพึงทําให้สมัครสมานกันได้จึงได้ไปกราบทูล เพราะใคร่ประโยชน์ (และ) ความเกื้อกูล.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 425
บทว่า "ภิกษุทั้งหลาย. ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง ๖ เหล่านี้" ความว่าปรารภเทศนาด้วยอํานาจความทะเลาะและความบาดหมางในหนหลัง.
หลายบทว่า "ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง๖ มาแล้วในฐานะนี้" ความว่าโกสัมพิกสูตรนี้เป็นอันมาแล้ว ตามความสืบต่ออย่างนี้.
ในบทนี้บทว่า "เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง" ความว่า เมื่อกาลล่วงไปนาน ไม่ควรลืมเพราะประกอบด้วยธรรมที่ควรระลึกถึงผู้ใดบําเพ็ญธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ย่อมทําผู้นั้นให้เป็นที่รักของเพื่อผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน เหตุนั้น ชื่อว่าเป็นเครื่องทําให้เป็นที่รัก. ชื่อว่าเป็นเครื่องกระทําความเคารพ เพราะทําความเคารพ.
บทว่า "เพื่อสงเคราะห์" ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์
บทว่า "เพื่อไม่วิวาท" ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่ความไม่วิวาท.
บทว่า "เพื่อความพร้อมเพรียง ได้แก่ เพื่อประโยชน์สมัครสมานกัน.
บทว่า "เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" ความว่า เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือเพื่อไม่ทําให้ต่างกัน.
บทว่า "เป็นไปพร้อม" ได้แก่ มีอยู่.
บทว่า "เมตตากายกรรม" ได้แก่ กายกรรมที่พึงทําด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา. แม้ในวจีกรรม และมโนกรรมก็นัยนี้นั่นเทียว เมตตาจิตเหล่านี้มาแล้วด้วยอํานาจภิกษุทั้งหลายย่อมหาได้แม้ในพวกคฤหัสถ์. เมตตาเป็นเครื่องบําเพ็ญอภิสมาจาริกธรรมด้วยจิตประกอบด้วยเมตตาของภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่ากายกรรม. กรรมเป็นอย่างนี้คือการไปเพื่อประโยชน์ไหว้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 426
เจดีย์ ๑ ไหว้ต้นโพธิ์๑ นิมนต์พระสงฆ์๑ การเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เข้าไปโคจรคามเพื่อบิณฑบาตแล้วต้อนรับ ๑ การรับบาตร ๑ การปูอาสนะ ๑ การตามส่ง ๑ ของพวกคฤหัสถ์ชื่อว่า เมตตากายกรรม. ชื่อว่าเมตตาวจีกรรมคือการบอกสิกขาบท คือบัญญัติเกี่ยวกับมารยาท การบอกกัมมัฏฐานการแสดงธรรม การบอกพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก ด้วยจิตเมตตาของภิกษุทั้งหลาย. อนึ่ง กรรมในกาลเป็นที่กล่าวเป็นต้นว่า เราจะไปไหว้พระเจดีย์ ๑ ไหว้ต้นโพธิ์ ๑ จักให้ทําการฟังธรรม ๑ จักบูชาด้วยประทีปมาลัยดอกไม้ ๑ จักประพฤติสมาทานสุจริตสาม ๑ ถวายสลากภัตรเป็นต้น ๑ ถวายผ้าจํานําพรรษา ๑ ถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์ในวันนี้ ๑ พวกท่านจงนิมนต์พระสงฆ์แล้วจัดแจงของเคี้ยวของฉันเป็นต้น ๑ จงปูอาสนะ ๑ จงตั้งน้ำดื่ม ๑ จงต้อนรับแล้วนําพระสงฆ์นั้นมาด้วยตนเอง ๑ จงนิมนต์พระสงฆ์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูไว้ เกิดความพอใจ ขมักเขม้นแล้วจงทําความขวนขวายดังนี้ของพวกคฤหัสถ์ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม. การลุกขึ้นแต่เข้าแล้วปฏิบัติร่างกายทําวัตรเจดีย์และคณะเป็นต้น นั่งบน อาสนะอันสงัดคําว่า "ขอพวกภิกษุในวิหารนี้จงมีสุขไม่มีเวรไม่พยาบาทกันเถิด" ชื่อว่า เมตตามโนกรรม.
บทว่า "ที่แจ้ง และที่ลับ" ความว่า ต่อหน้าด้วย ลับหลังด้วย.บรรดากรรมนั้น การถึงความเป็นเพื่อนในจีวรกรรมเป็นต้น ของภิกษุทั้งหลายผู้ใหม่ชื่อว่า เมตตากายกรรมต่อหน้า.
อนึ่ง สามีจิกรรมทั้งหมด ต่างด้วยกรรม มีการล้างเท้าและพัดให้เป็นต้น ของพระเถระชื่อว่าเมตตากายกรรมต่อหน้า.
การไม่ทําความดูดายในเครื่องไม้เป็นต้น ที่ทั้งสองฝ่ายเก็บไว้ไม่ดีแล้วเก็บ ดุจเก็บของที่ตนเก็บไว้ไม่ดีชื่อว่า เมตตากายกรรมลับหลัง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 427
การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า "พระเทวเถระ พระติสสะเถระ" ชื่อว่า เมตตาวจีกรรมต่อหน้า.
ก็การที่บุคคลถามเฉพาะภิกษุที่ไม่อยู่ในวิหารเทียว กล่าวอ้างว่าเป็นของตนอย่างนี้ว่า "พระเทวเถระของพวกเราไปไหน จะมาเวลาใดหนอพระติสสะเถระของพวกเราไปไหน จะมาเวลาใดหนอ" ดังนี้ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม ลับหลัง.
อนึ่ง การลืมนัยตาซึ่งสนิทด้วยความรักประกอบด้วยเมตตาแล้วดูด้วยใบหน้าที่ผ่องใสดีชื่อว่า เมตตามโนกรรมต่อหน้า.
การประมวล มาว่า "ขอพระเทวเถระ พระติสสะเถระ จงไม่มีโรค มีอาพาธน้อย" ชื่อว่า เมตตามโนกรรมลับหลัง.
บทว่า "ลาภ" ได้แก่ ปัจจัยที่ได้มีจีวรเป็นต้น.
บทว่า "เป็นธรรม" ความว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยวัตรคือการเว้นเลี้ยงชีพผิดต่างด้วยการโกหกเป็นต้น แล้วเที่ยวไปเพื่ออาหารโดยธรรมโดยเสมอ.
บทว่า "โดยที่สุด แม้เป็นเพียงอาหารที่รวมลงในบาตร" ความว่า แม้เป็นเพียงอาหาร ๒ - ๓ ทัพพี ที่รวมลงในบาตรคืออยู่ในภายในบาตรโดยส่วนสุดข้างหลัง.
ในบทว่า "ผู้บริโภค (อาหาร) ที่ยังมิได้แบ่งไว้นี้" ชื่อว่าผู้มีอาหารที่แจกจ่ายแล้วมี ๒ คือ แจกจ่ายอามิส ๑ แจกบุคคล ๑.
ในการแบ่งแจก ทั้ง ๒ นั้น การแบ่งด้วยจิตอย่างนี้ว่า เราจะให้เท่านี้จะไม่ให้เท่านี้. ชื่อว่า แบ่งแจกอามิส.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 428
การแบ่งด้วยจิตอย่างนี้ว่า "เราจะให้แก่คนโน้น ไม่ให้แก่คนโน้น" ชื่อว่า แบ่งแจกบุคคล.
ข้อที่บุคคลไม่ทําแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้นและบริโภคอาหารที่มิได้แบ่งไว้นี้ชื่อว่าผู้มีปกติบริโภคอาหารที่ยังมิได้แบ่งไว้.
ในคําว่า "ผู้มีปกติบริโภคทั่วไป กับเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน ผู้มีศีล" มีอธิบายว่า "ภิกษุผู้มีปกติบริโภคทั่วไปมีลักษณะดังนี้เธอได้สิ่งใดๆ ประณีต ก็ไม่ให้สิ่งนั้นๆ ด้วยลาภ เธอจะให้ลาภแก่คฤหัสถ์ทั้งหลายก็ด้วยการมุ่งหน้าแสวงหา ทั้งตนก็ไม่บริโภค เมื่อจะรับก็รับเอาด้วยคิดว่า "จงเป็นของทั่วไปแก่สงฆ์" เคาะระฆังแล้ว แลดูดุจของสงฆ์ที่ควรบริโภค.
ถามว่า ก็ใครบําเพ็ญธรรมเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกัน (และ) ใครไม่บําเพ็ญ" ตอบว่า ผู้ทุศีลไม่บําเพ็ญก่อน เพราะว่าผู้มีศีลทั้งหลายย่อมไม่ถือเอาสิ่งของที่เป็นของผู้นั้น. ส่วนว่าผู้มีศีล บริสุทธิ์ไม่ทําวัตรให้ขาดให้เต็มอยู่. ในข้อนั้น มีธรรมเนียมนี้ (เป็นอุทาหรณ์)
ก็ผู้ที่ทําเจาะจงแล้วจึงให้แก่มารดาบิดาหรือว่าอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้นนั้น ให้สิ่งที่ควรให้. ผู้นั้นย่อมไม่มีธรรมเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกัน. มีแต่การรักษาความกังวล เพราะว่า ผู้พ้นจากความกังวลเท่านั้นจึงจะสมควรกับธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน. ผู้นั้น เมื่อจะให้เจาะจงควรให้แก่ภิกษุผู้เป็นไข้ ผู้พยาบาลภิกษุไข้ ผู้จรมา ผู้เตรียมจะไปบ้างแก่ผู้บวชใหม่ที่ไม่รู้วัตรสําหรับรับสังฆาฏิและบาตร เมื่อจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น ตั้งแต่อาสนะสําหรับพระเถระลงมาไม่ควรถวายให้เหลือนิดหน่อยถวายเท่าที่ท่านถือเอานั้น. เมื่อไม่เหลือไม่มีก็ควรเที่ยวไปบิณฑบาตแล้วถวายของที่ประณีตนั้นๆ ตั้งแต่อาสนะพระเถระลงมาแล้วฉันของที่เหลือ.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 429
เพราะกล่าวอย่างนี้ว่า "ผู้มีศีล" ดังนี้ ถึงการไม่ให้แก่ผู้ไม่มีศีลก็ควร. ด้วยว่า ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันนี้เป็นอันบริษัทที่มิได้ศึกษาไม่บําเพ็ญแล้ว เพราะว่า เมื่อบริษัทได้ศึกษาแล้ว ผู้ที่ได้แต่ผู้อื่นนั้น ย่อมไม่ถือเอาแม้เมื่อไม่ได้จากผู้อื่น ก็ถือเอาพอประมาณเท่านั้น ไม่ถือเอาเกิน. ก็แล ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันนี้ภิกษุผู้เมื่อจะให้วัตถุที่ตนเที่ยวไปบิณฑบาตซ้ำซากได้แล้วๆ. ประพฤติให้เต็มตั้ง ๑๒ ปีไม่หย่อนกว่านั้น. ก็ถ้าว่า ภิกษุผู้บําเพ็ญธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันวางบาตรที่เต็มด้วยบิณฑบาต ที่โรงฉันแล้วไปอาบน้ำ. พระสังฆเถระถามว่า "นี้บาตรใคร" เมื่อเขากล่าวว่า "ของภิกษุผู้บําเพ็ญธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน" จึงกล่าวว่า "พวกท่านจงนําบาตรนั้นมา" แล้วจัดแจงบิณฑบาตทุกอย่าง ฉันแล้ววางบาตรเปล่าไว้.
ภิกษุนั้น เกิดความเสียใจว่า "ภิกษุทั้งหลายฉัน (อาหาร) ของเราแล้วให้เหลือแต่บาตรเปล่าไว้." สาราณิยธรรมย่อมแตกเป็นอันเธอต้องบําเพ็ญอีก ๑๒ ปี. ก็สาราณิยธรรมนี้เช่นกับ ติตถิยปริวาส เมื่อขาดคราวเดียวก็พึงประพฤติอีก. ภิกษุใดเกิดความดีใจว่า "ข้อที่ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกับเราไม่ถามโดยเอื้อเฟื้อถึงอาหารที่อยู่ในบาตรแล้วฉัน นั้นเป็นลาภของเราหนอเราได้ดีแล้วหนอ." ภิกษุนั้นชื่อว่า มีสาราณิยธรรมเต็มแล้ว. ส่วนความริษยาและความตระหนี่จะไม่มีแก่ภิกษุผู้บําเพ็ญสาราณิยธรรมอย่างนี้แน่นอน. เธอเป็นที่รักของพวกมนุษย์ทั้งปัจจัยก็หาได้ง่ายกว่านักถึงสิ่งของที่อยู่ในบาตรที่เขาถวายแก่เธอก็ไม่สิ้นไป. ย่อมได้สิ่งของดีเลิศ ในส่วนสิ่งของที่พึงแบ่ง ครั้นถึงความหวาดกลัว หรือความหิวโหยพวกเทพย่อมขวนขวาย. ในข้อนั้น มีเรื่องเหล่านี้ เป็นอุทาหรณ์.
ฟังมาว่า พระติสสะเถระผู้อยู่ที่เสลาคิรีวิหารอาศัยบ้านมหาคิรี.อยู่ เมื่อพระมหาเถระ ๕๐ รูป กําลังไปเกาะนาคเพื่อไหว้เจดีย์เที่ยวบิณฑ-
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 430
บาตในบ้านคิรีไม่ได้อะไรออกไปแล้ว. เมื่อพระเถระเข้าไปเห็นพระมหาเถระเหล่านั้น ถามว่า ท่านได้อะไรบ้างครับ.
ม. คุณ พวกเราได้เที่ยวไปแล้ว.
พระเถระนั้น รู้ว่า พระมหาเถระเหล่านั้น ไม่ได้อะไร จึงกล่าวว่า ท่านครับ ขอท่านทั้งหลายจงอยู่ที่นี้จนกว่ากระผมจะมา.
ม. คุณ พวกเราตั้ง ๕๐ คน ก็ยังไม่ได้พอให้เปียกบาตร.
ถ. ท่านครับ ธรรมดาผู้อยู่ประจําเป็นผู้สามารถแม้เมื่อไม่ได้ ก็ยังรู้สภาพประมาณ ภิกษาจาร พวกพระเถระมาแล้ว. พระเถระจึงเข้าไปหมู่บ้าน มหาอุบาสิกาในเรือนที่ห่างไกลได้จัดแจงน้ำนมและข้าวสวย ยืนคอยดูพระเถระ เมื่อพระเถระถึงประตูเท่านั้น ก็ได้บรรจุบาตรให้เต็มถวายแล้ว. พระเถระถือบาตรนั้นไปสํานักพระเถระทั้งหลายกล่าวกับพระสังฆเถระว่า ท่านครับ ขอท่านจงรับเถิด. พระเถระมองดูหน้าพระเถระที่เหลือพลางคิดว่า พวกเราตั้งเท่านี้ไม่ได้อะไรเลย ภิกษุนี้ถือเอามาแล้วเร็วทีเดียว นี่อะไรกันหนอ.
พระเถระทราบด้วยอาการแลดูเทียว จึงกล่าวว่า "บิณฑบาตกระผมได้มาโดยชอบธรรม ขอพวกท่านจงหมดรังเกียจรับเอาเถิด" แล้วได้ให้แก่พระเถระทั้งหมดตามต้องการตั้งแต่ต้น ถึงตนก็ฉันตามต้องการ.ลําดับนั้น เมื่อฉันเสร็จ พวกพระเถระจึงถามว่า "คุณแทงตลอดโลกุตตรธรรมเมื่อไร คุณ".
ถ. ท่านครับ กระผมยังไม่มีโลกุตตรธรรมหรอกครับ.
ม. คุณ ได้ฌานหรือ
ถ. แม้นั่นก็ไม่มีครับ".
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 431
ม. คุณ ได้ปาฏิหาริย์มิใช่หรือ.
ถ. ท่านครับ กระผมบําเพ็ญสาราณิยธรรม ตั้งแต่กระผมบําเพ็ญสาราณิยธรรมมา ถึงมีภิกษุตั้ง ๑,๐๐๐ รูป อาหารในบาตร ก็ยังไม่หมดไป.
ม. ดีแล้วๆ ท่านสัตบุรุษ นี้สมควรแก่ท่าน. ในคําว่า อาหารในบาตรของท่านก็ยังไม่หมดไปก่อน มีเรื่องดังต่อไปนี้.
พระเถระองค์นี้อีกนั่นแหละได้ไปที่ถวายทาน ในที่บูชาใหญ่แห่งคิรีภัณฑ์วิหารที่เจดีย์บรรพต ถามว่า "ทานนี้มีอะไรเป็นของอย่างดี"""ผ้า ๒ ผืนครับท่าน. "ผ้าทั้งสองผืนนั้นถึงแก่เรานะ." อํามาตย์ฟังคํานั้น จึงกราบทูลพระราชาว่า "พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุหนุ่มกล่าวอย่างนี้ ""
ร. "ความคิดของภิกษุหนุ่มสมควรทีเดียวแต่ว่า พระมหาเถระทั้งหลายก็เหมาะแก่ผ้าเนื้อดี แล้วทรงวางได้ด้วยทรงดําริว่า "เราจะถวายพระมหาเถระทั้งหลาย. เมื่อพระภิกษุยืนตามลําดับ ผ้า ๒ ผืนที่ทูนได้บนพระเศียรของพระองค์ผู้กําลังถวายไม่ลงมาสู่พระหัตถ์สักผืนหนึ่ง (ส่วน) ผ้าผืนอื่นๆ เท่านั้น ที่ลงมา แต่ว่าเวลาถวายพระหนุ่ม ผ้าทั้ง ๒ ผืนนั้นก็ลงมาสู่พระหัตถ์. ท้าวเธอทรงวางมือภิกษุหนุ่มนั้น มองหน้าอํามาตย์ทรงให้ภิกษุหนุ่มนั่งแล้วถวายทาน ทรงละพระสงฆ์มาประทับใกล้ภิกษุหนุ่ม ตรัสว่า ท่านครับ ธรรมนี้ ท่านแทงตลอดเมื่อไร เมื่อไม่กล่าวแบบไม่อ้อมๆ จึงถวายพระพรว่า "มหาบพิตร อาตมาภาพไม่มีโลกุตตรธรรม".
ร. พระคุณเจ้าได้กล่าวไว้ก่อนมิใช่หรือขอรับ.
ถ. ถวายพระพร มหาบพิตร อาตมาภาพบําเพ็ญสาราณิยธรรม ตั้งแต่เวลาอาตมาภาพบําเพ็ญธรรมนั้นมา ก็ได้สิ่งของอย่างดีเลิศในที่ที่พึงแบ่ง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 432
ร. "ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านครับ นี้ควรแก่ท่าน" ทรงไหว้แล้วหลีกไปในคําว่า "ได้ของดีเลิศในที่ที่พึงแบ่ง" นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์.
ก็ภิกษุทั้งหลาย มีปกติอยู่ในบ้านภาตระในจัณฑาลติสสภยะวิหารไม่บอกพระเถรีชื่อว่านาคาหลีกไปแล้ว. พระเถรีกล่าวกับพวกภิกษุณีสาวเวลาเช้ามืดว่า "หมู่บ้านสงัดเสียงเหลือเกิน พวกท่านจงสอบสวนดูก่อนซิ."ภิกษุณีสาวเหล่านั้น ไปรู้ว่าภิกษุทั้งหมดไปแล้ว จึงกลับมาบอกพระเถรี. พระเถรีนั้น ได้ฟังแล้วกล่าวว่า "พวกท่านอย่าคิดว่าภิกษุเหล่านั้นไปแล้วจงทําความเพียรในการเล่าเรียนบาลี สอบถามและการใส่ใจโดยแยบคายเถอะ" เมื่อถึงเวลาเที่ยวภิกษาจึงห่มผ้าได้เป็นรูปที่ ๑๒ ยืนที่โคนต้นไทรใกล้ปากดง. เทวดาผู้สิ่งอยู่ที่ต้นไม้ก็ได้ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุณี ๑๒ รูปจึงกล่าวว่า "พระแม่เจ้า ขออย่าไปที่อื่นเลย มาประจําที่นี้เท่านั้นเถิด".ก็พระเถรีมีน้องชายคนเล็กชื่อว่า นาคเถระ. พระนาคเถระนั้นคิดว่า"เราไม่อาจให้ภัยอย่างใหญ่เป็นไปในที่นี้ พวกเราจะไปยังฝังอื่น" เป็นรูปที่ ๑๒ เทียว ออกจากที่อยู่ของตน แล้วมาหมู่บ้านภาตระด้วยคิดว่า "เราจะเยี่ยมพระเถรีแล้วก็จะไป."
พระเถรีได้ฟังว่า พวกพระเถระมา จึงไปสํานักพระเถระเหล่านั้น ถามว่า " อะไรกัน พระผู้เป็นเจ้า" ท่านจึงบอกความเป็นไปนั้น.พระเถรีนั้นจึงกล่าวว่า "ตลอดวันหนึ่ง วันนี้พวกท่านจักพักในวิหาร ต่อพรุ่งนี้จึงค่อยไป." พวกพระเถระมาวิหาร. รุ่งขึ้นพระเถรีเที่ยวบิณฑบาตที่โคนต้นไม้แล้วเข้าไปหาพระเถระกล่าวว่า "ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงฉันบิณฑบาตนี้เถิด." พระเถระกล่าวว่า "เถรี สมควรหรือ" จึงได้ยินนิ่งเสีย.
เถรี. "พ่อ บิณฑบาตนี้ชอบธรรม พระคุณเจ้าทั้งหลาย อย่ารังเกียจ ฉันเถิด"
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 433
เถระ. "เถรี สมควรหรือ"
นางจับบาตรแล้วโยนไปบนอากาศ บาตรได้ลอยอยู่ในอากาศ พระเถระกล่าวว่า "อาหารของภิกษุณีลอยอยู่ประมาณเจ็ดชั่วลําตาล" เมื่อกล่าวว่า "ขึ้นชื่อว่า ภัยมิใช่มีอยู่ทุกเวลา ภัยสงบ" เมื่อจะกล่าวอริยวงศ์ก็จะกล่าวว่า "ท่านครับ ท่านฉันอาหารของนางภิกษุณีที่ได้จากบิณฑบาตแล้วปล่อยเวลาให้ล่วงไป" ดังนี้เมื่อจะประพฤติตามความคิดก็ไม่อาจจะสนับสนุนได้ เถรีขอพวกท่านจงไม่ประมาทเถิด." แล้วเดินขึ้นหนทาง. ฝ่ายรุกขเทวดายืนคิดอยู่ว่า "หากพระเถระจะบริโภคบิณฑบาตจากมือพระเถรี เราก็จะไม่ให้เธอกลับ" เห็นพระเถระเดินไป จึงลงจากต้นไม้กล่าวว่า ""ท่านเจ้าข้า ขอจงให้บาตร" แล้วรับบาตรนําพระเถระมาโคนต้นไม้นั่นแหละ ปูอาสนะถวายบิณฑบาต ให้พระเถระซึ่งฉันแล้วทําปฏิญญาแล้วบํารุงภิกษุณี๑๒ รูป ภิกษุ ๑๒ รูป ตลอด ๗ ปี. ในคําว่า "เทวดาขวนขวาย" นี้มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. ก็ในเรื่องนี้พระเถรีได้เป็นผู้บําเพ็ญสาราณิยธรรม.
ในบทว่า "ไม่ขาด" เป็นต้น มีอธิบายว่า ภิกษุใด มีสิกขาบททําลายในเบื้องต้นและที่สุดในกองอาบัติทั้ง ๗ ภิกษุนั้น ชื่อว่า มีศีลขาด ดุจผ้าขาดรอบๆ ริม. อนึ่ง ภิกษุใดมีสิกขาบททําลายท่ามกลาง ภิกษุนั้นชื่อว่ามีศีลทะลุ ดุจผ้าทะลุตรงกลาง. ภิกษุใดทําลาย ๒, ๓ สิกขาบท ตามลําดับภิกษุนั้นชื่อว่า มีศีลด่าง ดุจแม่โคที่มีสีดําหรือแดงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยสีที่ตัดกันตั้งขึ้นบนหลังหรือท้อง. ภิกษุใดมีสิกขาบททําลายระหว่างๆ ภิกษุนั้น ชื่อว่า ศีลพร้อย ดุจแม่โคที่มีจุดลายไปทั้งตัว.
ส่วนภิกษุใด มีสิกขาบทไม่ทําลายหมด ภิกษุนั้น ชื่อว่า มีศีลเหล่านั้นไม่ขาดไม่ทะลุไม่ด่างไม่พร้อย. ก็สิกขาบทเหล่านี้นั้น ชื่อว่าเป็นไท เพราะพ้นจากความเป็นทาสแห่งตัณหาแล้วทําให้เป็นอิสระ ชื่อว่าวิญูชนสรร
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 434
เสริญ เพราะวิญูชนทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้วชื่อว่าอะไรๆ ลูบคลําไม่ได้ เพราะตัณหาเป็นต้น ลูบคลําไม่ได้ และเพราะกิเลสอะไรๆ ไม่อาจเพื่อจะลูบคลําว่า "ท่านเคยต้องสิกขาบทชื่อนี้" ย่อมเป็นไปเพื่อสมาธิอย่างเฉียดๆ หรือสมาธิอย่างแนบแน่น ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น.
บทว่า "ถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันอยู่" ความว่า ผู้มีศีลเข้าถึงความเสมอกัน กับภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในส่วนทิศเหล่านั้นๆ อยู่. เพราะว่าศีลของพระโสดาบันเป็นต้น สม่ําเสมอกันด้วยศีลของพระโสดาบันเป็นต้นเหล่าอื่น. ที่อยู่ระหว่างทะเลบ้าง เทวโลกบ้างแน่แท้ (แต่) ไม่มีความแตกต่างกันโดยมรรคและศีล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาศีลนั้น จึงได้ตรัสคํานี้.
บทว่า "ทิฏฐินี้ใด" ความว่า สัมมาทิฏฐิที่ประกอบพร้อมด้วยมรรค.
บทว่า "อริยะ" ได้แก่ ไม่มีโทษ.
บทว่า "นําออก" คือ นําออกไป.
บทว่า "ผู้ทํากรรมนั้น" ได้แก่ ผู้ใดเป็นผู้ทําอย่างนั้น.
บทว่า "เพื่อสิ้นทุกข์" ได้แก่ เพื่อความสิ้นทุกข์ทั้งหมด.
บทว่า "ถึงความเสมอกันด้วยความเห็น" ความว่า เป็นผู้เข้าถึงความเป็นผู้มีความเห็นเสมอกันอยู่.
บทว่า "เลิศ" ได้แก่ เจริญที่สุด.
บทว่า "รวมไม้กลอนทั้งปวงไว้" ได้แก่ ยึดไว้ดี อธิบายว่า "ทํากลอนทุกอันให้จดกัน เหตุนั้น ชื่อว่า ให้ต่อๆ กัน"
บทว่า "ยอดนี้ใด" ความว่า ที่ต่อเรือนยอดกับช่อฟ้า เหตุนั้น ชื่อว่ายอด. ก็ปราสาท ๕ ชั้นเป็นต้นที่ยอดนั้นตรึงไว้เทียวจึงตั้งอยู่ได้เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 435
ยอด นั้นตกไป ปราสาททั้งหมดตั้งต้นแต่ดินเหนียวก็ตกไป. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า "ฉันนั้นนั่นเทียวแล" ความว่า ความเห็นอย่างประเสริฐและเลิศแห่งสาราณิยธรรมเหล่านี้นั้น พึงเห็นว่า เป็นตัวรวบรวม และตัวเชื่อมดุจยอดของเรือนยอดฉะนั้น.
ในบทว่า "ภิกษุทั้งหลาย ก็ความเห็นนี้ใด อย่างไร" อธิบายว่าภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิในโสดาปัตติมรรค ท่านกล่าวว่า ไกลจากข้าศึกคือเป็นสภาพนําออกย่อมนําออกไป เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของนักปฏิบัติ."ทิฏฐินั้นนําออกอย่างไร นําออกเพราะเหตุอะไร"
บทว่า "หรือว่า เป็นผู้มีจิตถูกรุมแล้ว" ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้มีจิตถูกรุมแล้ว แม้ด้วยเหตุเท่านี้." ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
บทว่า "ใจของเราตั้งมั่นดีแล้ว" ความว่า จิตเราตั้งไว้ดีแล้ว.
บทว่า "เพื่อรู้สัจจะทั้งหลาย" ได้แก่ เพื่อประโยชน์รู้สัจจะ ๔.
ในบทเป็นต้นว่า "ประเสริฐ" มีอธิบายว่า เพราะญาณนั้นย่อมมีแก่ผู้ประเสริฐ หามีแก่ปุถุชนไม่ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า "ประเสริฐ." ส่วนว่า แม้โลกุตตรธรรมของคนพวกใดมีอยู่ก็เป็นของคนพวกนั้นเท่านั้น หามีแก่พวกอื่นไม่ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยอดเยี่ยมในโลก. มีคําอธิบายว่า "ชื่อว่าไม่ทั่วไปกับปุถุชนทั้งหลายเพราะไม่มีแก่ปุถุชน. ในวาระทั้งหมดก็นัยนี้.
บทว่า "เราได้ความสงบเฉพาะตน" ความว่า เราได้ความสงบในจิตของตน. แม้ในความดับก็นัยนี้. ในบทว่า "ดับแม้นี้" ย่อมได้ทั้งความสงบ ทั้งความเป็นผู้มีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง.
บทว่า "ดับ" ได้แก่ เข้าไปสงบกิเลส
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 436
บทว่า "ทิฏฐิเห็นปานนั้น" ได้แก่ โสดาปัตติมรรคทิฏฐิเห็นปานนั้น.
บทว่า "โดยธรรมดา" คือ โดยสภาพ.สภาพนี้ชื่อว่าธรรมดานี้.
บทว่า "ย่อมปรากฏการตั้งขึ้น" ความว่า การตั้งขึ้นด้วยอํานาจสังฆกรรม หรือเทศนาย่อมปรากฏ. จริงอยู่อริยสาวกเมื่อต้องอาบัติ ก็ต้องอาบัติด้วยไม่จงใจ เหมือนการสร้างกุฏีในครุกาบัติ (และ) เหมือนต้องอาบัติในเพราะการนอนร่วมในที่มุงที่บังเดียวกันเป็นต้นในลหุกาบัติแน่นอน พระอริยสาวกนั้น ไม่แกล้งคือ ไม่จงใจต้องอาบัตินั้น ต้องแล้วก็ไม่ปกปิดเพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคําเป็นต้นว่า "ครั้งนั้นแล........นั้นพลันทีเดียว."
บทว่า "หนุ่ม" ได้แก่ ยังอ่อน.
บทว่า "กุมาร" ได้แก่ มิใช่คนแก่.
บทว่า "เขลา" คือชื่อว่า เขลา เพราะตาและหูยังไร้เดียงสา.
บทว่า "นอนหงาย" ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้นอนหงายเพราะยังอ่อนนักไม่อาจจะนอนข้างขวาหรือข้างซ้ายได้.
บทว่า "ได้เหยียบถ่าน" ความว่า เอามือหรือเท้าที่เหยียดไปทางนี้บ้าง ทางโน้นบ้างถูกแล้วก็เมื่อพวกมนุษย์ถูกอยู่อย่างนี้มือจะชักออกเร็ว ทําช้าไม่ได้แม้ครั้งนั้น คนทั้งหลายเอามือข้างหนึ่งข้างใดจับถ่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาย่อมไปได้ไกล. แต่ว่า มือและเท้าของเด็กอ่อนยังละเอียดอ่อน. เด็กนั้น เพียงถูกไฟลวกเอาเท่านั้น ก็จะร้องกรี๊ด ทิ้งไปโดยเร็วฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงเด็กอ่อนไว้ในที่นี้เทียว. คนแก่เมื่อถูกไหม้ย่อมทนได้. แต่ว่าเด็กอ่อนนี้ทนไม่ได้. เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงเด็กอ่อนเทียว.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 437
บทว่า "แสดง" ความว่า เมื่อบุคคลที่พอๆ กันเป็นผู้รับอาบัติ ก็ไม่รอว่ากลางวันหรือกลางคืนไปที่อยู่ของภิกษุที่พอๆ กันนั้น แม้ในกลางคืนประกอบด้วยองค์๔ แสดงทีเดียว
บทว่า "สูง ต่ํา" ได้แก่ สูงๆ ต่ําๆ.
กิจที่ควรกล่าวอย่างนี้ว่า "เราจะทําอย่างไรแล้วทําชื่อว่ากิจที่ควรจะทําอย่างไร ".
ในกิจเหล่านั้น กิจเป็นต้นอย่างนี้ คือการทําหรือย้อมจีวร ๑ การงานที่พระเจดีย์๑ การงานที่ควรทําที่โรงอุโบสถ ๑ เรือนพระเจดีย์ ๑ เรือนโพธิ์ ๑ ชื่อว่าการงานอย่างสูง. การงานเล็กน้อยมีการล้างและทาเท้าเป็นต้น ชื่อว่าการงานอย่างต่ํา. อีกอย่างหนึ่งการงานมีการฉาบทาปูนขาวเป็นต้นที่เจดีย์ ชื่อว่าการงานอย่างสูง. ในการงานเหล่านั้น การสุผ้ากาสาวะ๑ การชักน้ำมา ๑ การทําเกรียง ๑ การพาดบันได ๑ ชื่อว่าการงานอย่างต่ํา.
บทว่า "ถึงความขวนขวาย" ความว่า เป็นผู้ปฏิบัติความขวนขวายที่ควรทํา.
บทว่า "เป็นผู้เพ่งอย่างกล้า" ความว่า เป็นผู้มีความปรารถนาอย่างหนาแน่น.
บทว่า "และถอนหญ้า" ได้แก่ เล็มหญ้าเคี้ยวกินอยู่.
บทว่า "ใส่ใจถึงลูกโค" ความว่า คอยแลดูลูกโคอยู่ด้วย. เหมือนอย่างว่าโคแม่ลูกอ่อน จะไม่ทิ้งลูกโคที่รวมกันมาป่า แล้วนอนในที่หนึ่งไปไกล แม่โคนั้นจะเที่ยวไปในที่ใกล้ๆ ลูกโคและเล็มหญ้าแล้ว ก็ชูคอขึ้นชําเลืองดูลูกโคไปด้วยทีเดียว. พระโสดาบันก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทํากิจที่ควรทำ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 438
ทั้งสูงต่ํา น้อมไปในกิจนั้น เป็นผู้บําเพ็ญไม่ย่อหย่อน มีความพอใจอย่างแรงกล้า เป็นผู้มีความปรารถนาอย่างหนาแน่นกระทํา. ในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์.
เล่ากันว่า เมื่อกําลังฉาบทาปูนที่มหาเจดีย์ พระอริยสาวกรูปหนึ่งมือข้างหนึ่งถือภาชนะใส่ปูน ข้างหนึ่ง ถือเกรียงคิดว่า "ฉาบปูนแล้วขึ้นฐานพระเจดีย์" ภิกษุรูปหนึ่งกายมีน้ำหนักมากได้ไปยืนใกล้พระเถระพระเถระในที่อื่นเป็นผู้ล่าช้าอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นจึงจากที่นั้นไปที่อื่น.ถึงภิกษุนั้น ก็ได้ไปที่นั้นนั่นเทียว. พระเถระได้ไปที่อื่นอีกดังนี้แล. พระเถระได้กล่าวกะภิกษุผู้มาในที่ ๒ - ๓ แห่งอย่างนี้ว่า ท่านสัตบุรุษ เนินพระเจดีย์ใหญ่ท่านไม่ได้โอกาสที่อื่นหรือ. พระเถระนอกนี้ก็ไม่ยอมหลีกไป.
บทว่า "ประกอบด้วยความเป็นผู้มีกําลัง" ได้แก่ ประกอบด้วยกําลัง.
บทว่า "ทําให้มี" ความว่า ทําความเป็นผู้มีประโยชน์คือเป็นผู้มีประโยชน์.
บทว่า "ทําให้มี" ความว่า ทําไว้ในใจ คือรวบรวมสิ่งทั้งหมดมาด้วยใจ ชื่อว่า ไม่ทําความฟุ้งซ่านแม้เพียงเล็กน้อยรวบรวมมาด้วยจิตทั้งสิ้น.
บทว่า "เงี่ยโสต" ความว่า มีโสตอันตั้งไว้แล้ว.
ก็พระอริยสาวกทั้งหลาย เป็นผู้รักการฟังธรรม เมื่อจะไปฟังธรรม ก็ไม่นั่งหลับ สนทนากับใครๆ หรือมีจิตฟุ้งซ่าน. โดยที่แท้ท่านเป็นผู้ไม่อิ่มในการฟังธรรม เหมือนบริโภคน้ำอมฤต จนถึงอรุณขึ้นไปในการฟังธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้อย่างนี้.
บทว่า "ธรรมดา เป็นอันตั้งไว้ดีแล้ว" ความว่า สภาวะเป็นอันท่านแสวงหาไว้ดีแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 439
คําว่า "เพราะกระทําให้แจ้งในโสดาปัตติผล" นี้เป็นคํากล่าวถึงเหตุ อธิบายว่า เพราะญาณที่ทําให้แจ้งแล้วด้วยโสดาปัตติผล.
บทว่า "มาตามพร้อมแล้วด้วยองค์ ๗ อย่างนี้" ความว่า ประกอบด้วยญาณเป็นเครื่องพิจารณาอย่างใหญ่เหล่านี้อย่างนี้. อาจารย์ทั้งหลายมีถ้อยคําที่เสมอกันนี้ก่อน. ส่วนโลกุตตรมรรคที่ชื่อว่า มีขณะจิตมากไม่มี.
ส่วนอาจารย์ผู้ชอบกล่าวเคาะเล่น ย่อมกล่าวว่า มรรคที่ชื่อว่า มีขณะจิตหนึ่งไม่มีการเจริญมรรคมีได้ตลอด ๗ ปีส่วนกิเลสทั้งหลายเมื่อจะขาดสูญโดยเร็ว ก็ย่อมขาดสูญด้วยญาณทั้ง ๗ เพราะคําว่า "พึงให้เจริญตลอด ๗ ปี." อาจารย์นั้นจะถูกเขากล่าวว่า จงนําพระสูตรมา. เมื่อไม่เห็นสูตรอื่นเขาก็จะนําพระสูตรนี้มาแสดงอย่างแน่นอนว่า "ญาณที่เราบรรลุนี้เป็นที่หนึ่งแห่งพระสูตรนั้น ญาณที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นที่สองแห่งพระสูตรนั้น ฯลฯ ญาณที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นที่เจ็ดแห่งพระสูตรนั้น." ลําดับนั้น อาจารย์นั้นก็จะถูกกล่าวว่า ก็พระสูตรนี้มีเนื้อความที่พึงนําไป มีเนื้อความที่นําไปแล้วหรือ. แต่นั้นก็จะกล่าวว่า มีเนื้อความที่นําไปแล้ว. พระสูตรฉันใดเนื้อความก็ฉันนั้น.
อาจารย์นั้นก็จะพึงถูกกล่าวว่า ความเป็นธรรม ก็จะตั้งมั่นด้วยดีประโยชน์มีประมาณเท่านี้เพื่อทําให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. อาจารย์นั้นย่อมกล่าวว่า "ประโยชน์แห่งการทําให้แจ้งโสดาปัตติผลมีแน่นอน. แต่นั้นก็จะถูกถามว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคย่อมทําผลให้แจ้งแล้วกลายเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยผลหรือ. เมื่อรู้ก็ตอบว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคย่อมทําให้แจ้งผล กลายเป็นพรั่งพร้อมด้วยผล. แต่นั้นถูกซักอีกว่า "เพราะท่านยังไม่อบรมมรรค" ในพระพุทธดํารัสนี้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์๗ อย่างนี้เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล" จึงกระโดด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 440
ไปกล่าวสะเปะสะปะเหมือนกับว่าผมยังไม่ได้พระสูตรว่า อริยสาวกจะยึดเอาผลให้ได้ ธรรมดาภิกษุผู้จะแก้ปัญหาควรอยู่ในสํานักอาจารย์เรียนเอาพระพุทธพจน์ทราบอรรถรสแล้วกล่าวถ้อยคํา.
ญาณ ๗ เหล่านี้ จัดเป็นญาณเครื่องพิจารณาของพระอริยสาวกทีเดียว. โลกุตตรมรรค ที่ชื่อว่า มีขณะจิตมากย่อมไม่มีพึงให้ยอมรับว่า" มีขณะจิตเตียวเท่านั้น" ถ้าเขาจะรู้ก็จงรู้หากไม่รู้ ก็จงส่งไปว่า "ท่านจงไปเข้าวิหารแต่เช้าตรู่แล้วดื่มข้าวต้มเสีย." คําที่เหลือในบททั้งปวงตื้นนั่นเทียวแล.
จบ อรรถกถาโกสัมพิกสูตรที่ ๘