ได้ยินท่าน อ.สุจินต์ แสดงอยู่บ่อยๆ " อบรม " ได้ยินแล้วคิด อย่างไร
พึงสะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสที่เกิดขึ้นกับตนเอง
ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด ขณะนั้นย่อมชื่อว่าไม่เบียดเบียนตน และไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย
เพราะเหตุว่าชีวิตนี้ สั้นแสนสั้น พึงสะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสที่เกิดขึ้นกับตนเอง (พิจารณาตนเองเป็นสำคัญ) ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป
ตามความเป็นจริงแล้วในชาตินี้คงไม่ต้องกล่าวถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุเป็นพระอริยบุคคล (โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) เพราะเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่กว่าที่ปัญญาจะถึงระดับขั้นดังกล่าวได้นั้น ก็จะต้องค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และต้องรู้ด้วยตนเองจริงๆ ว่า ได้มีการฟังพระธรรมจนกระทั่งมีความเข้าใจในสภาพธรรมซึ่งเป็นอนัตตา (ไม่มีตนตนเลย แม้แต่ขณะเดียว) เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ดังนั้น จึงต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
ไม่มีหนทางอื่น นอกจากการอบรมเจริญสติปัฏฐาน
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นหนทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายดำเนินมาแล้ว การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การดับกิเลสประการต่างๆ ได้ในที่สุด สภาพธรรมที่ปัญญาจะประจักษ์แจ้งได้นั้น ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ทั้งในเรื่องของรูปธรรม นามธรรมในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ เพราะเหตุว่าไม่มีหนทางอื่นที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายได้เลย นอกจากการอบรมเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในวันหนึ่งๆ ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่า มีอกุศลจิตมากกว่ากุศลจิต ถ้าไม่รู้ก็จะอบรมเจริญกุศลให้พ้นจากสภาพของจิตที่เลวไม่ได้ ยังคงเป็นอกุศลจิตอยู่มากเหมือนเดิม และยังมีความยินดีพอใจในอกุศลนั้นๆ โดยไม่เห็นว่าเป็นโทษ ฉะนั้น ก็ควรทราบว่าที่ตื่นขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่แล้วกิเลสตื่นทั้งนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่ว่ากิเลสของใครจะวุ่นวายแค่ไหน จะทำให้เกิดความเดือดร้อนใจและกายสักแค่ไหน ซึ่งเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรขวนขวายอบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นทาน ศีลความสงบของจิตหรือขั้นสติปัฎฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ดิฉันเคยคิดว่าเมื่อศึกษาธรรมะแล้ว ควรจะต้องไปปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแม้จะฟังท่านอาจารย์สุจินต์พูดในวิทยุว่าจะไปทำไม ให้ทำเป็นประจำทุกวันไม่ต้องไปไหน ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ายังไงๆ ก็ต้องหาโอกาสไปปฏิบัติ เผื่อว่าจะก้าวหน้าขึ้น
จนกระทั่งเมื่อวาน ดิฉันฟังท่านอาจารย์ตอบปัญหาธรรมในวิทยุ จึงได้รับความกระจ่างเข้าใจเหตุผลที่ท่านอาจารย์ไม่เห็นด้วย ก็คือ เราไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหน แต่ให้พยายามศึกษาพากเพียรทำความเข้าใจ ทำความเห็นให้ถูกต้องในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีความเห็นถูกต้อง ก็จะเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้สมบูรณ์ ตามกำลังปัญญาหรือความรู้ทั่วต่อไป เข้าใจผิดหรือถูกประการใดโปรดกรุณาชี้แนะเพิ่มเติมให้ด้วยค่ะ เพราะจะได้อธิบายให้ท่านอื่นๆ ฟังต่อค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนว่า อย่าพึ่งรีบปฏิบัติ ขอให้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ให้เข้าใจก่อน เพราะว่า พระพุทธองค์ทรงสะสมบารมีมาสี่อสงไขยแสนกัปป์เพื่อให้สัตว์โลกได้มีปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรม การอบรมเจริญปัญญา ต้องเริ่มจากการฟังการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเริ่มเข้าใจ ปัญญาย่อมค่อยๆ ศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ การอบรมปัญญาไม่ใช่การนั่งสมาธิ
อีกอย่างหนึ่ง การเจริญสมถและวิปัสสนาไม่มีจำจัดว่าจะต้องนั่งขัดสมาธิเท่านั้น ถ้าเข้าใจในข้อปฏิบัติทั้งสมถและวิปัสสนา สามารถเจริญได้ทุกๆ อิริยาบถ และผลของการอบรมปัญญาคือ รู้แจ้งความจริง ถ้าเจริญถูกต้อง จิตต้องสงบและปัญญาต้องรู้ความจริง
เรียนถามผู้รู้ ท่านให้คำแปลของ คำว่า "อบรม" แปลว่า "ทำสิ่งที่ไม่มี ให้มีขึ้น"
ใช่เลย... ปัญญาที่ยังไม่มี จึงต้อง "อบรม"
อวิชชา (ความไม่รู้) ที่แต่ละบุคคลได้สั่งสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ นับชาติไม่ถ้วน จะค่อยๆ เบาบางลงไปได้ตามลำดับของความเข้าใจ ปัญญาเท่านั้นที่ดับอวิชชาได้ แต่ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ เจริญขึ้นได้ ต้องอาศัยการอบรม เพราะฉะนั้นแล้วจึงต้องมีความอดทนที่จะศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมต่อไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต คือ การได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ กว่าที่ท่านจะได้บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้นั้น ท่านก็ได้อบรมเจริญปัญญา (เป็นเวลาที่ยาวนาน) มาแล้วทั้งนั้น เมื่อได้ฟังได้ศึกษา ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับนี่แหละครับคือ อบรม
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
" อบรม " เพื่อ มีความเห็นถูก และ ขัดเกลากิเลส
การอบรมเจริญปัญญามีหลายระดับขั้นกว่าจะถึงปัญญาขั้นโลกุตตรปัญญาประหานกิเลสได้เป็นสมุจเฉทนั้น เป็นเรื่องไกลตัวมาก จึงควรเริ่มจากการขัดเกลากิเลสในชีวิตปัจจุบัน โดยเฉพาะ การอบรมบารมี ๑๐
ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี
บารมีทั้ง ๑๐ มีโลภเป็นปฎิปักษ์ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญบารมี จึงไม่ใช่ด้วยความต้องการผลของกุศล แต่ต้องเพราะเห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท ไม่ใช่ต้องการเจริญบารมีเพื่อผลคือสังสารวัฎฎ์ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าปัญญาจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท จึงจะดับสังสารวัฎฎ์ได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ได้ยินคำว่า "อบรม" แล้วคิดนึกต่อเนื่องไปถึง "บ่อยๆ เนืองๆ " ค่อยๆ สะสม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก อบรม เจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสอกุศล บ่อยๆ เนืองๆ เพราะเป็นจิรกาลภาวนาเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา นาน ...น มาก..ก จะใช้ความเป็นตัวตนไปรีบร้อน อยากเข้าใจเร็ว อยากรู้เร็ว ไม่ได้จริงๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
อนุโมทนาทุกท่านที่ให้ความกระจ่างค่ะ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ