ชาติปัจจุบัน วิถีชีวิตที่ได้รับสิ่งกระทบเข้ามานั้นคือการรับผลของกรรมดี/ชั่วในชาติก่อนๆ ใช่หรือเปล่าคะ แล้วที่คนสมัยนี้บอกว่า กรรมให้ผลติดจรวด ทำชาตินี้ ได้ชาตินี้ นี่เป็นคำพูดที่พูดกันติดปากมาก แต่เป็นความจริงแค่ไหน ดิฉันได้อ่านกระทู้ย้อนหลังในบ้านธัมมะ กรรมที่ทำชาตินี้และให้ผลในชาตินี้ ต้องเป็นกรรมที่กระทำด้วยกำลังจิตที่หนักมาก เช่นเป็นมหากุศลขั้นนิโรธสมาบัติหรือกระทำกับพระอรหันต์เป็นต้น ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่กระทำกรรมดี/ชั่วที่ไม่เข้าข่ายกรรมกลุ่มนั้นก็แปลว่าที่เค้าได้รับโทษเข้าคุก หรือได้รับสิ่งตอบแทนใดๆ ก็ล้วนเป็นผลของกรรมในชาติก่อนๆ ใช่มั้ยคะ กระทู้ก่อนดิฉันโพสถามเรื่องการตัดสินใจทำอะไรนั้นเกิดจากกรรมเก่าหรือไม่ เพราะเกิดสงสัยว่า อะไรทำให้คนเราไม่เป็นไปตามกรรมเก่าหรือวิถีที่เสพคุ้นมาหลายชาติ อยู่ๆ คนเราเปลี่ยนใจ (ตัดสินใจใหม่) มาดีขึ้นจากเดิมหรือแย่ลงจากเดิมได้อย่างไร คำว่า"เดิม"ของดิฉันคือ การเสพคุ้นมาหลายๆ ชาติ อยู่ๆ มาดีขึ้นหรือแย่ลงได้อย่างไรแสดงว่าการตัดสินใจจะล่วงกรรมใดๆ มีปัจจัยมากกว่ากรรมเก่าหรือการเสพคุ้นในอดีตชาติที่เสือกไสให้เราต้องทำต้องตัดสินใจในปัจุจบันตามวิถีที่เสพคุ้นมา เลยคิดว่าอาจจะอยู่ที่การฟังธรรมจนเกิดสติเจตสิกมากั้นกระแสนั้นให้เปลี่ยนใจไปประพฤติสุจริตหรือกุศลกรรมบถ10 ด้วยความเพียร จึงเป็นปโยคสมบัติให้กรรมเก่าที่ดีๆ มาแทรก (ตัดรอน,เบียดเบียน) วิถีเดิมที่ไม่ดีและเป็นปัจจัยให้ชีวิตได้เสพคุ้นสิ่งที่ดีๆ ใหม่ๆ เช่นฟังธรรมและคบหากัลยาณมิตรเพิ่ม ซึ่งต่างจากวิถีกรรมเดิมที่เสพคุ้นมาก็เลยทำให้คนๆ นั้นค่อยๆ เจริญกุศลขึ้นตามลำดับ ในวิถีทางใหม่ใช่มั้ยคะ
//www.dhammahome.com/webboard/topic/11599
"พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
ดูก่อนอชิตะ กระแส (กิเลส) เหล่าใดมีอยู่ในโลก
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น
เราเรียกเครื่องกั้นกระแสทั้งหลายว่า สังวร
กระแสเหล่านั้น อันบุคคลย่อมกั้นเสียได้ด้วยปัญญา"
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตจริงๆ ก็มีอยู่ ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว และอีกส่วนหนึ่งเป็นการสะสมเหตุ ซึ่งมีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย
การได้รับสิ่งที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนาบ้างนั้น ล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้ แต่เป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต ซึ่งก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เป็นกรรมที่เคยกระทำมาแล้วตั้งแต่ชาติใด เพราะเรื่องของกรรมนั้นหลากหลายมาก มีความละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ที่พอจะเข้าใจได้ ก็คือ เมื่อเหตุไม่ดี ผลที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นผลที่ไม่ดีไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นเหตุที่ดีแล้ว ก็ย่อมทำให้เกิดผลที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ, แม้กล่าวถึงการได้รับทุกข์โทษต่างๆ ในภพนี้ชาตินี้ หรือมีการพูดจนติดปากว่า กรรมติดจรวด นั่นก็เป็นเพียงคำพูด ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นผลของกรรมไม่ดีที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้ หรือชาติไหน แต่ที่พอจะเข้าใจได้ ก็คือ ต้องเป็นของกรรมที่ไม่ดีอย่างแน่นอน จึงทำให้ได้รับผล
ที่ไม่ดี ความเป็นจริงของธรรมเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใครๆ ก็ไม่
สามารถเปลี่ยนแปลงได้
สำหรับประเด็นเรื่องการตัดสินใจทำอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งการสะสมซึ่งเป็นเหตุภายใน และ เหตุภายนอก มีการคบคน เป็นต้น สิ่งที่จะอุปการะเกื้อกูลให้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ก็คือ ความเป็นผู้ได้เข้าใจพระธรรม อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถือเอาในสิ่งที่ชั่วหรือสิ่ง
ที่ผิด ก็จะต้องเป็นผู้น้อมประพฤติปฏบัติในสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้น ชีวิต จะดำเนิน
ไปในทางที่ถูกที่ควร ก็ย่อมคล้อยไปตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า
ชาติปัจจุบัน วิถีชีวิตที่ได้รับสิ่งกระทบเข้ามานั้นคือการรับผลของกรรมดี/ชั่วในชาติ
ก่อนๆ ใช่หรือเปล่าคะ
ผลของกรรม ที่ได้รับ จากกรรมดี และ กรรมชั่ว คือ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ขณะนั้นเป็นผลของกรรมดี และ
กรรมชั่ว ถ้าเห็นสิ่งที่ดี ก็เป็นผลมาจากกรรมดีให้ผล ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดี ก็มาจากกรรม
ที่ไม่ดีให้ผล ครับ
ส่วนขณะที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิตนั้น ขณะนั้นไม่ได้เกิดจากผลของกรรม แต่ การ
เกิดขึ้นของกุศลจิต อกุศลจิต เกิดจากการสะสมมาของบุคคลนั้น ที่สะสมธรรมฝ่ายดี
มามาก ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตได้มาก ถ้าสะสมธรรมฝ่ายไม่ดีมามาก ก็เป็นปัจจัย
ให้เกิดอกุศลจิตได้มาก และ อาศัยเหตุปัจจัยภายนอก คือ การคบสัตบุรุษ หรือ การ
คบอสัตบุรุษที่จะทำให้ได้ยิน ได้ังสิ่งที่ถูก หรือ ผิด ก็เป็นปัจจัยให้เกิด กุศลจิต หรือ
อกุศลจิตก็ด้วยประการหนึ่ง ครับ
จากคำถามที่ว่า
แล้วที่คนสมัยนี้บอกว่า กรรมให้ผลติดจรวด ทำชาตินี้ ได้ชาตินี้ นี่เป็นคำพูดที่พูดกัน
ติดปากมาก แต่เป็นความจริงแค่ไหน
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า กรรมใดจะให้ผล และ ขณะที่ให้นั้น เป็นผลของกรรมอะไร
นอกจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น กรรมจะติดจรวด
หรือไม่ ก็แล้วแต่ ลักษณะของกรรม ว่าเป็นกรรมประเภทไหน และ มีเหตุปัจจัยอื่นๆ
มาประกอบด้วย ทั้ง คติที่เกิด ปโยคะ อุปธิ รูปร่างหน้าตา และ กาละช่วงเวลาที่เกิด
ซึ่งอาศัยปัจจัยหลายๆ ประการ ไม่ใช่ประการเดียว ดังนั้นที่เราเห็นคนติดคุก เพราะ
ทำบาป ก็ไม่รู้เลยว่า กรรมใดให้ผล อาจเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติ หรือ กรรมใน
ปัจจุบัน หรือ กรรมไหนก็ตาม ก็ไม่มีใครรู้ได้ ครับ เพียงแต่ สามารถกล่าวคร่าวๆ ได้
ว่า ถ้าเป็นอกุศลกรรมที่เป็นกรรมหนักแล้ว มีอนันตริยกรรม เป็นต้น มีการฆ่า บิดา
มารดา ย่อมจะไปอบายภูมิแน่นอนในอนาคต คือ ในชาติหน้าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง
ได้ ครับ เป็นต้น
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุปัจจัยอะไรที่ไม่ทำให้เป็นไปตามการสะสมเก่าๆ คือ สามารถ
เปลี่ยนการตัดสินใจ จากที่เคยสะสมมาดี ก็ตัดสินใจไม่ดีได้ และ จากที่เป็นคนไม่ดี
ก็ตัดสินในการกระทำสิ่งที่ดีได้
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก ครับ เพราะ อาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างจึง
เกิดขึ้น แม้แต่การตัดสินใจ เปลี่ยนใจทำอะไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เพียงปัจจัยดียวที่เป็น
การสะสมมาเท่านั้น และแม้แต่การสะสมมา ก็ไม่ใช่สะสมเพียงฝ่ายเดียว ที่จะเป็น
ฝ่ายกุศล หรือ ฝ่ายอกุศลเท่านั้น แต่สะสมมาทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น แม้สะสมมาดี
แต่ยังเป็นปุถุชน ก็สามารถกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ เพราะ กิเลสมีเหตุจัยยก็เกิดขึ้น ดังเช่น
พระโพธิสัตว์แม้ได้ฌาน มีปัญญามาก แต่เมื่อเห็น สตรีเพศ ก็เกิดจิตกำหนัด และ
ล่วงศีลข้อสามได้ ท่านก็กล่าวว่า เพราะ กิเลสของท่านที่ยังไม่ได้ดับ จึงเป็นเหตุ
ปัจจัยให้เกิดกิเลส การกระทำที่ไม่ดีได้ เพราะอาศัยการสะสมมาไม่ดีที่ยังมีอยู่เกิดขึ้น
และเหตุปัจจัยภายนอก คือ การคบคนพาล หรือ บัณฑิต ก็ทำให้มีการตัดสินใจที่ผิด
หรือ ที่ถูกได้ เพราะอาศัยการเสพคุ้น และ ทำให้เกิดการสะสมใหม่ที่ถูก หรือ ผิดที่
ทำให้คิดผิด และ คิดถูกได้ ตามการเสพคุ้นกับบุคคลนั้น ครับ ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอให้มีความมั่นคงในเรื่องของ"กรรมและผลของกรรม"
"เหตุดี ผลก็ย่อมดี"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
สาธุ ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ