เมื่อปัญญาซึ่งรู้ถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงละกิเลส ได้ จึงควรอบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังฟัง
ขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าประจักษ์ว่า กายนี้ เกิด-ดับ สืบต่อกัน จริงๆ อย่างที่ในกระทู้บอกมา คงไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะจะหน่ายจะคลายลงไปทุกทีๆ ที่น่ากลัวก็คือ ผมไม่เคยประจักษ์เลยสักครั้ง และเมื่อยังไม่ประจักษ์ว่า นี้ทุกข์ ผมจึงยังไม่มีหวังว่าจะพ้นทุกข์
ปล.ขออนุโมทนาพี่อรวรรณ เช้านี้จะขึ้นเครื่องไปนมัสการสังเวชนียสถาน ที่อินเดีย อยู่แล้ว ยังสละเวลาเข้ามาตอบกระทู้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ
พี่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ไปอินเดียครั้งนี้ (คีอครั้งที่ ๖) เพราะไปมาแล้ว ๕ ครั้งค่ะ
1. ในขณะที่กุศลทุกขั้นเกิด ไม่มีความกลัวเหมือนในขณะที่โทสะเกิด และในขณะที่ปัญญากำลังประจักษ์การเกิด - ดับ สืบต่อกันของนามธรรมหรือรูปธรรม เป็นวิปัสสนาญาณ ขณะนั้นก็ไม่มีความกลัวเหมือนกับขณะที่เป็นโทสมูลจิต
2. กลัวหรือไม่กลัว เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ล้วนมีความตายเป็นของแน่แท้
3. ละสักกายทิฏฐิได้ ก็ยังคงมีปัจจัยให้ความกลัวเกิดได้อยู่ ถ้ายังไม่ได้ดับโลภะที่ติดข้องในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นสมุทเฉจ ถึงความเป็นพระอนาคามี
4. ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เกิดอีก ต้องได้เกิดอีกแน่นอนถ้าหากยังมีกิเลส จะกลัวหรือไม่กลัว มีความเกิดอีกเป็นธรรมดา จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์
5. กลัวภัยของสังสารวัฏฏ์ด้วยความมีตัวตน ไม่ทำให้ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ จริงๆ แล้วต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาที่เจริญขึ้นจากการศึกษาพระธรรม ถ้ามัวแต่กลัว แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นสังสารวัฏฏ์ ที่กำลังเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สืบต่อกันอย่างรวดเร็วไม่มีหยุด และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ก็ออกไปจากสังสารวัฏฏ์นี้ไม่ได้
พี่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ไปอินเดียครั้งนี้ (คีอครั้งที่ ๖) เพราะไปมาแล้ว ๕ ครั้งค่ะ
อ้อ
ขออนุโมทนาสำหรับการไป 5 ครั้งที่แล้วนะครับ
กลัวไหมครับ ถ้าประจักษ์ว่า กายนี้ เกิด-ดับ สืบต่อกัน ก่อนการประจักษ์การเกิดดับของธรรมะ จะต้องประจักษ์แจ้งว่าที่แท้แล้วกายนี้เป็น แต่เพียงรูปธรรม และสภาพรู้ที่เกิดกับกายนี้เป็นแต่เพียงนามธรรม ดังนั้นการ ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของธรรมะ จึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเหมือนกับการคิดว่ากายของ เรากำลังเกิดดับ
กลัวเพราะต้องตายแน่ๆ ไม่กลัวเพราะละสักกายทิฏฐิได้ ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ไม่กลัวอีกต่อไปคือพระอนาคามีบุคคล (พระโสดาบันบุคคลดับสักกายทิฏฐิแล้ว แต่ยังไม่ดับความกลัวอันเป็นโทสะเหตุ) ไม่กลัวเพราะได้เกิดอีกอยู่แล้ว กลัวไม่ได้เกิดมากกว่า
ไม่ควรกลัวแต่ก็ไม่ควรยินดีในการเกิด เพราะการเกิดเป็นภัยในสังสาวัฏ เช่น การเกิดในทุขคติภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน หรือแม้การเกิดใน สุขคติภูมิเช่นในภูมิมนุษย์ ก็นำมาซึ่ง พยาธิ ชรา มรณะ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่ รัก การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ฯลฯกลัวมากๆ เลย เพราะต้องเกิดแล้วก็ตายอีกไม่จบสิ้น
ความกลัวไม่ทำให้ยุติการเวียนว่ายเกิดและตาย แต่การระลึกรู้สภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริงเป็นทางอันนำไปสู่การไม่เกิดและไม่ตายโปรดแสดงธรรมให้ปรากฎ เป็นธรรมทานเถิด
ท่านอาจารย์สุจินต์ฯ ได้กรุณานำพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วมาถ่ายทอดได้อย่าง เหมาะสมกับปัญญาของคนในยุคนี้ โปรดตั้งใจศึกษาเถิด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
แม้ว่า ท่านอาจารย์ คณะวิทยากร และสหายธรรมจำนวนมาก จะอยู่ ห่างไกล ไม่ได้เข้ามาในเวบสักระยะหนึ่ง แต่ว่า
ที่นี่ก็ยังน่ารื่นรมย์
อีกไม่นานท่านก็กลับมา