พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายวิมานวัตถุเล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 550
๒. ปุริสวิมานวัตถุ
ปายาสิกวรรคที่ ๖
๓. ผลทายกวิมาน
ว่าด้วยผลทายกวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 550
๓. ผลทายกวิมาน
ว่าด้วยผลทายกวิมาน
พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[๖๗] วิมานแก้วมณีนี้สูง ๑๒ โยชน์ โดยรอบ มีห้องรโหฐาน ๗๐๐ มีเสาแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดอันสวยงาม ท่านนั่ง ดื่ม กิน ในวิมานนั้น อนึ่ง พิณทิพย์บรรเลงไพเราะ เทพอัปสรชั้นไตรทศ ๖๔,๐๐๐ ชำนาญศิลป์ ล้วนแต่ผู้พากันมาฟ้อนรำขับร้องให้บันเทิงใจ ท่านบรรลุเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพบุตรนั้น ถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 551
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ผู้มีจิตเลื่อมใส เมื่อถวายก็ถวายผลมะม่วงในหมู่ภิกษุผู้ปฏิบัติตรง ย่อมได้ผลอันไพบูลย์ ผู้นั้นแลไปสู่สวรรค์บันเทิงอยู่ในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ เสวยผลบุญอันไพบูลย์ ข้าแต่ท่านมหามุนี ก็อย่างนั้นเหมือนกัน ข้าพเจ้าได้ถวายผลมะม่วง ๔ ผล.
เพราะเหตุนั้นแล มนุษย์ผู้ต้องการความสุข ปรารถนาความสุขอันเป็นทิพย์ หรือปรารถนาความสวยงามของมนุษย์ ควรถวายผลไม้เป็นนิตย์ทีเดียว.
เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และวรรณะของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบผลทายกวิมาน
อรรถกถาผลทายกวิมาน
ผลทายกวิมาน มีคาถาว่า อุจฺจมิทํ มณิถูณํ เป็นต้น. ผลทายกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ สมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารเกิดความอยากจะเสวยผลมะม่วง ในเวลาที่มิใช่ฤดูมะม่วง ท้าวเธอตรัสกะพนักงานเฝ้าสวนว่า พนายเอ๋ย ข้าเกิดอยากกินผลมะม่วงขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าจงนำมะม่วงมาให้ข้าทีเถิด. เจ้าพนักงานกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ขณะนี้มะม่วงทั้งหลายยังไม่มีผล พระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 552
เจ้าข้า แต่ถ้าหากพระองค์จะโปรดรอคอยชั่วเวลาสักเล็กน้อย ข้าพระบาทก็จะทำให้มันออกผลให้ได้ไม่นานเลย พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ดีสิ พนาย ลงมือทำอย่างนั้นเลย. พนักงานเฝ้าสวนก็ไปสวน เอาดินละเอียดที่โคนต้นมะม่วงออกไปแล้ว เกลี่ยดินละเอียดเช่นนั้นลงใหม่ รดน้ำลงตรงนั้น จนต้นมะม่วงสลัดใบ ไม่นานนัก ครั้นแล้ว ก็เอาดินละเอียดนั้นออกไป เกลี่ยดินละเอียดตามปกติ ผสมกับกากมะปรางแล้วใส่น้ำรสหวานลงไป. ครั้งนั้น ไม่นานเลย ต้นมะม่วงทั้งหลายก็ออกช่อตามกิ่ง ตูมแล้วก็บาน. ออกผลดิบอ่อนแล้วก็แก่. ในต้นมะม่วงเหล่านั้น ต้นหนึ่งก็สุกก่อน ๔ ผล มีสีแดงเรื่อดังผงชาด มีกลิ่นรสหอมหวาน.
พนักงานเฝ้าสวนนั้น ก็ถือผลมะม่วงเหล่านั้นเดินไปหมายจะถวายพระราชา ระหว่างทาง พบท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังบิณฑบาต คิดว่า มะม่วงเหล่านี้ เป็นผลไม้ชั้นยอด จำเราจักถวายพระผู้เป็นเจ้าเสียเถิด พระราชาจะทรงฆ่า หรือเนรเทศเราก็ตามที. เพราะว่า เมื่อเราถวายพระราชา ก็จะพึงมีผลเล็กน้อยเพียงค่าตอบแทนในปัจจุบัน แต่เมื่อเราถวายพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จักมีผลไม่มีประมาณทั้งปัจจุบันทั้งภายหน้า ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ก็ถวายผลมะม่วงเหล่านั้นแก่พระเถระ แล้วเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องนั้นถวายแด่พระราชา. พระราชาทรงสั่งราชบุรุษว่า พนาย พวกเจ้าจงสอบสวนอย่างที่บุรุษผู้นี้กล่าวก่อน. ส่วนพระเถระนำผลมะม่วงเหล่านั้น น้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ในผลมะม่วงเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานแก่ท่านพระสารีบุตรผล ๑ ท่านพระมหาโมคคัลลานะผล ๑ ท่านพระมหากัสสปะผล ๑ เสวยเองผล ๑ พวกราชบุรุษจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 553
พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงปลื้มพระทัยว่า บุรุษผู้นี้เป็นบัณฑิตที่ยอมสละชีวิตตนขวนขวายแต่บุญ และได้สร้างฐานความลำบากใจให้แก่ตนเอง แล้วพระราชทานบ้านส่วยตำบล ๑ และผ้าผ่อนเครื่องประดับเป็นต้นแก่เขาแล้วตรัสว่า พนาย เจ้าขวนขวายบุญด้วยการถวายผลมะม่วงเป็นทาน เจ้าจงให้ส่วนบุญจากทานนั้นแก่เราบ้างสิ. เขากราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทขอถวาย โปรดทรงรับส่วนบุญตามสมควรเถิด พระเจ้าข้า. ต่อมาพนักงานเฝ้าสวนก็ตายไปเกิดในเหล่า เทพชั้นดาวดึงส์ วิมานทอง ๑๖ โยชน์ ประดับด้วยห้องรโหฐาน ๗๐๐ ก็บังเกิดแก่เขา. ท่านพระมหาโมคคัลลานะพบเทพบุตรนั้นแล้วถามว่า
วิมานเสาแก้วมณีนี้สูงขนาด ๑๖ * โยชน์ โดยรอบ มีห้องรโหฐาน ๗๐๐ โอฬาร ล้วนเสาแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดอันสวยงาม ท่านนั่ง ดื่ม และกิน อยู่ในวิมานนั้น พิณทิพย์บรรเลงไพเราะ เหล่าเทพกัญญาชั้นไตรทศ ๖๔,๐๐๐ ล้วนแต่ดี ผู้ชำนาญศิลป์ พากันฟ้อนรำขับร้องทำความบันเทิงอย่างโอฬาร. ท่านบรรลุเทวฤทธิ์ แล้วมีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะ
* พระสูตร ๑๒ โยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 554
ถามแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
บุคคลผู้มีใจเลื่อมใสในท่านผู้ปฏิบัติตรง เมื่อถวายทานก็เป็นผู้ถวายผลไม้ ย่อมได้ผลอันไพบูลย์. แต่จริงผู้ถวายผลไม้นั้นถึงสวรรค์แล้ว ก็บันเทิงในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ และเสวยผลบุญอันไพบูลย์.
ข้าแต่ท่านมหามุนี ข้าพเจ้าก็อย่างนั้นเหมือนกัน ได้ถวายผลมะม่วง ๔ ผล.
เพราะฉะนั้น มนุษย์ผู้ต้องการสุข หรือปรารถนาสุขทิพย์ หรือปรารถนาความสวยงามของมนุษย์ ก็ควรถวายผลไม้เป็นนิตย์ทีเดียว.
เพราะบุญนั้น วรรณะของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ข้าพเจ้า.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอบอกท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ทำบุญใด เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึงมีอานุภาพมากอย่างนี้ และ วรรณะของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพบุตรองค์นั้นก็พยากรณ์แก่ท่านแล้วดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺกฏฺกา ได้แก่ หมู่ ๘ คูณ ๘ รวมเป็น ๖๔ [๖๔,๐๐๐] ในห้องรโหฐาน แต่ละห้อง. บทว่า สาธุรูปา ได้แก่ มีสภาพงามด้วยสมบัติคือรูปสมบัติคือศีลและจรรยา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 555
และสมบัติคือสิกขา. บทว่า ทิพฺพา จ กญฺา ได้แก่ เหล่าเทพอัปสร. บทว่า ติทสจรา ได้แก่ ประพฤติเป็นสุข อยู่เป็นสุข ในเหล่าเทพชั้นไตรทศ. บทว่า อุฬารา ได้แก่มีสมบัติโอฬาร.
เทวบุตรกล่าวว่า ผลทายี หมายถึงตนเพราะถวายผลมะม่วงด้วยตนเอง. บทว่า ผลํ ได้แก่ ผลบุญ. บทว่า วิปุลํ ได้แก่ ได้ผลบุญมาก. อธิบายว่า ดำรงอยู่ในมนุษยโลก. บทว่า ททํ ได้แก่ เมื่อให้ มีทาน เป็นเหตุ. บทว่า อุชุคเตสุ แปลว่า ในท่านผู้ปฏิบัติตรง. บทว่า สคฺคปฺปตฺโต ได้แก่ ไปสวรรค์โดยอุบัติ และเสวยผลบุญอันไพบูลย์ในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ คือ ภพดาวดึงส์อันเป็นทิพย์แม้นั้น อธิบายว่า ถึงคนอื่นก็เหมือนข้าพเจ้า.
บทว่า ตสฺมา ได้แก่ เพราะเหตุที่ประสบสมบัติเช่นนี้ ด้วยเหตุเพียงถวายมะม่วง ๔ ผล. บทว่า อลเมว แปลว่า ควรโดยแท้. บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ทุกเวลา. บทว่า ทิพฺพานิ ได้แก่ นับเนื่องในเทวโลก. บทว่า มนุสฺสโสภคฺคตํ ได้แก่ ความสวยงามในหมู่มนุษย์. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาผลทายกวิมาน