ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่ประเทศอินเดียณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกรุงสาวัตถี ตุลาคม ๒๕๔๒
ท่านอาจารย์ การที่จะสามารถ ประจักษ์ การเกิด-ดับ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง นั้นต้องเป็นไปตามลำดับขั้น. ขั้นแรก คือ ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม ต้องปรากฏปรากฏโดย "ลักษณะ" ที่เป็นนามธรรมล้วนๆ หรือ รูปธรรมล้วนๆ ไม่มีสิ่งอื่น เจือปนเลย (หมายถึง "นามรูปปริจเฉทญาณ")
นี่เป็นความต่างระหว่างขณะจิตอื่นที่ไม่ใช่ "วิปัสสนาญาณ" เช่น กำลังเห็น ขณะนี้ แม้ มโนทวารวิถีจิต จะเกิดขึ้น รู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ต่อจากทาง จักขุทวารวิถีจิต ไม่ว่าจะกี่ขณะก็ตามแต่เมื่อ วิถีจิตทางจักขุทวาร ดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดคั่นแล้ว มโนทวารวิถีจิต ก็เกิดขึ้น รับรู้อารมณ์ต่อจากทาง จักขุทวารวิถีจิตสภาพธรรมเกิด-ดับ-สืบต่ออย่างรวดเร็วมาก จนแยกไม่ออก ว่า ขณะไหน จิตรู้อารมณ์ ทางจักขุทวารวิถีหรือขณะไหน จิตรู้อารมณ์ ทางมโนทวารวิถี
แต่เมื่อเป็นขณะจิตที่เป็น "วิปัสสนาญาณ" จะไม่มีความสงสัย ในลักษณะของ "มโนทวารวิถีจิต"ซึ่ง รับรู้อารมณ์ต่อจากทาง "ปัญจทวารวิถีจิต" เพราะฉะนั้น ลองคิดถึง "สภาพของมโนทวารวิถีจิต" ซึ่งไม่เคยปรากฏ
แต่เมื่อเป็น ปัญญาที่สามารถแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ขณะนั้น ลักษณะของมโนทวารวิถี ที่เป็น "วิปัสสนาญาณ" จึงจะปรากฏ โดยปรากฏทาง "มโนทวารวิถีจิต" มโนทวารวิถีจิต รู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง เพราะว่า "มโนทวารวิถีจิต" สามารถที่จะรู้อารมณ์ สืบต่อจาก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย ได้. มโนทวารวิถีจิต รู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มี "วิปัสสนาญาณ" เกิดขึ้นจะไม่ความสงสัยในสภาพของ มโนทวารวิถีจิต ขณะที่ "วิปัสสนาญาณ" เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่มีเรา ไม่มีความเป็นตัวตน และ ในขณะที่สภาพของ "นามธรรม" กำลังปรากฏ สามารถ รู้ "ลักษณะของธาตุรู้" ได้ สภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเป็น "มนินทรีย์" คือ เป็นใหญ่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ ใครก็บังคับไม่ให้รู้ ไม่ได้. จะรู้สภาพธรรมอะไร ก็บังคับไม่ได้และ จะมีอะไรมาเกินกว่า "สภาพรูนั้น" ก็ไม่ได้เพราะว่า "สภาพรู้นั้น" กำลังเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้. เพราะฉะนั้น ลักษณะของ"นามธรรม" แต่ละอย่าง จึงปรากฏได้ ทาง มโนทวารวิถีจิต และ ลักษณะของ "รูปธรรม" แต่ละอย่าง ก็ปรากฏได้ ว่าเป็นรูปธรรมแต่ละอย่างทางมโนทวารวิถีจิต เพราะว่า มีมโนทวารวิถีจิตที่รับรู้ รูปธรรม แต่ละอย่าง สืบต่อจากทางปัญจทวารวิถีจิต
ซึ่งเป็นการปรากฏอย่างสั้นมาก นี่เป็น "การเริ่มต้น" ของปัญญา ซึ่งจะต้องเจริญอีกมากทีเดียว แต่ว่า สภาพธรรมเป็นอย่างไร ปัญญา ก็ต้องรู้อย่างนั้น.! "วิปัสสนาญาณ" แต่ละขั้น ต้องเป็น "ความรู้ชัดขึ้น" เพราะว่า การที่สภาพธรรมปรากฏแจ่มแจ้ง ชัดเจนขึ้นก็ด้วย "ความชิน" ที่มีต่อลักษณะของสภาพธรรมนั้น
แต่ ถ้ายังมี "ความเป็นเรา" ก็เป็นเครื่องกั้นเพราะว่า เรายึดถือ สภาพธรรม ว่า เป็นเรา มาตลอด เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความหนาแน่นของการยึดถือนามธรรมและรูปธรรม ว่า เป็นตัวตน จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ ถึงขั้นที่บุคคลนั้น รู้ ว่า ความยึดถือ ค่อยๆ คลายลง เพราะอะไร ถ้าปัญญาไม่เพิ่มขึ้น การประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่เพิ่มขึ้น และ ถ้าไม่มี "ปัญญาที่อบรมแล้ว" (จากการอบรมเจริญสติปัฏฐาน) ก็ไม่มีทางที่จะคลายความยึดถือในสภาพธรรมทั้งหลาย ว่า เป็นเรา. ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นการ "อบรมความรู้-ความเข้าใจ" ให้เพิ่มขึ้นๆ โดย การระลึก ตรง ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ.ตามปกติ ตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน (สติระลึก และ ปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งก็คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน)
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ