ถ้าจะได้ฌาน ๑ เขาบอกต้องตัดนิวรณ์ ๕ ออก ต้องทำยังไงบ้างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ฌาน หมายถึง ธรรมเครื่องเผา คือ เผานิวรณ์ ซึ่ง นิวรณ์ คือ สภาพธรรม คือ กิเลสที่เป็นเครื่องกางกั้นจิต คือ ไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้น ซึ่งฌานที่เป็นกุศล คือ ความสงบแห่งจิต จนตั้งมั่น จนสงบระงับจากกิเลส คือนิวรณ์ในขณะที่เป็นฌานจิต ครับ ซึ่งการจะถึงฌานจิต ก็ด้วยการเจริญสมถภาวนา โดยเริ่มจากการเห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ใช่เพราะได้ยินชื่อฌานแล้วจึงอยากได้ฌาน หรืออยากจะสงบ ก็เลยจะทำความสงบ ขณะนั้นไม่ได้เห็นโทษของกิเลสแต่เพิ่มกิเลส จึงไม่ใช่เหตุเบื้องต้นในการเจริญสมถภาวนา ซึ่งเหตุเบื้องต้นการเจริญสมถภาวนา คือ เห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน แม้แต่โลภะ ความติดข้อง จึงมีปัญญาที่รู้ว่าจะอบรมสมถภาวนา คือ ความสงบของจิตอย่างไร ซึ่งความสงบของจิต คือ ขณะที่เป็นกุศลจิต เมื่อมีปัญญารู้ว่าขณะนี้ เป็นกุศล หรือ อกุศล จึงอบรมเจริญกุศลจิตด้วยนึกถึงสภาพธรรมที่เป็นกุศลบ่อยๆ จนตั้งมั่น และจนได้ฌานที่หนี่ง ขณะนั้นก็ละนิวรณ์ สงบจากนิวรณ์ชั่วขณะที่ฌานจิตเกิดครับ
ดังนั้น การจะได้ฌานหนึ่ง ไม่ใช่ให้ตัดนิวรณ์ แต่การตัดนิวรณ์ ละนิวรณ์ให้สงบชั่วขณะที่เป็นฌาน เป็นผลของการได้ฌานที่หนึ่งครับ แต่การจะได้ฌานที่หนึ่ง ต้องตัดความกังวลที่เป็นปลิโพธ และ เห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน และมีปัญญาที่รู้ว่าจะอบรมอย่างไร ครับ นี่คือเหตุให้ได้ฌาน ครับ
การอบรมสมถภาวนาที่จะได้ฌานจึงเป็นเรื่องของปัญญาและเป็นเรื่องของการละทั้งสิ้น ที่ไม่ใช่เรื่องการจะได้ฌาน แต่เป็นเรื่องการจะละ คือ ละกิเลส สงบกิเลส ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิวรณ์ หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่กางกั้นไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้น มี ๕ ประการ คือ
กามฉันทนิวรณ์ (ความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ๑
พยาบาทนิวรณ์ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ พยาบาทปองร้ายผู้อื่น) ๑
ถีนมิทธนิวรณ์ (ความง่วงเหงาหาวนอน ท้อแท้ท้อถอยเซื่องซึม) ๑
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ) ๑
วิจิกิจฉานิวรณ์ (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) ๑
ขณะที่จิตเป็นอกุศลนั้น เป็นนิวรณ์ เพราะเป็นสภาพธรรมที่กางกั้นไม่ให้จิตเป็นกุศล เพราะขณะใดที่จิตเป็นอกุศล กุศลจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในชีวิตประจำวันสำหรับที่ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยากที่พ้นไปจากการถูกกลุ้มรุมด้วยนิวรณ์ประการต่างๆ แต่ก็ยังพอมีขณะที่สงบระงับนิวรณ์ได้บ้าง ก็ในขณะที่จิตเป็นกุศลนั้นเอง จนกว่าจะดับนิวรณ์แต่ละอย่างแต่ละประการด้วยอริยมรรค ตามลำดับขั้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา อันเป็นรากฐานสำคัญจะนำไปสู่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นทั้งหมดนั้น
ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วเท่านั้น จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว นิวรณ์เป็นอกุศลธรรมที่จะถูกดับด้วยมรรคจิต อันเป็นผลของการอบรมเจริญวิปัสสนาภาวนา เพราะเพียงสมถภาวนา ไม่สามารถดับนิวรณ์ได้ เพียงแค่ระงับด้วยการข่มไว้ด้วยกำลังแห่งฌานเท่านั้น พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ต้องเข้าใจก่อนฌานมี ๒ อย่าง
ฌาน หมายถึง เพ่ง หรือ เผา ถ้าเผากุศลก็เป็นอกุศลฌาน ตรงกันข้าม ถ้าเผาอกุศล ก็เป็นกุศลฌาน และการที่จะได้ฌานที่ ๑ ต้องเจริญสมถกรรมฐาน ๔๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่สำคัญต้องประกอบด้วยปัญญา ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
กราบอนุโมทนาสาธุในธรรมทานค่ะ