และแล้ววันที่รอคอยให้น้ำแห้งก็มาถึงเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 54 หลังจากหนีน้ำท่วมออกจากบ้านไปตั้งแต่ 13 ต.ค. 54 ด้วยการขับรถหนีน้ำไปอยู่ที่ต่างๆ เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน จึงได้กลับมานอนบ้านอีกครั้ง
เมื่อเพื่อนบ้านที่ไม่ได้อพยพไปไหน โทรไปบอกข่าวว่า ให้เข้ามาดูบ้านได้แล้วเพราะน้ำเริ่มแห้งแล้ว จึงตัดสินใจรีบเดินทางจากอยุธยาทันที แม้การเดินทางจะไม่สะดวก เพราะถนนพหลโยธินทางเข้าบ้านนั้น น้ำยังท่วมสูง รถเล็กวิ่งไม่ได้ ต้องอ้อมไปทางด้านหลัง จึงต้องสอบถามเส้นทางจากผู้อยู่ใกล้เคียงหลายท่าน รวมทั้งคุณวันชัย ภู่งาม ด้วย
ตั้งใจมาดูบ้านว่า เสียหายแค่ไหน ติดต่อการไฟฟ้าให้ต่อไฟฟ้าเข้าบ้าน และหาคนมาทำความสะอาด แต่เมื่อมาถึง พบความเสียหายมากกว่าที่คิด ทั้งเศษขยะในบ้าน และนอกบ้านที่ลอยมากับน้ำที่ท่วมสูงถึงคอ (เพราะบ้านสร้างมาเกือบ 40 ปี จึงต่ำกว่าถนนที่ถมสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ซ่อมแซมใหม่) สนามหญ้า สวนหย่อม ต้นจำปี ต้นขนุนที่ให้ผลหวานอร่อยที่สุด ต้นกรรณิการ์ ดอกสีขาวก้านสีส้มที่ออกดอกส่งกลิ่นหอมหวานให้ได้เก็บบูชาพระทุกคืน ต้นชมนาดที่เลื้อยคลุมหน้าบ้านให้ร่มเย็นตอนกลางวัน และต้นไม้อื่นๆ ที่แสนรักทั้งนั้นยืนต้นตาย ทิ้งไว้แต่ใบสีน้ำตาลแห้งกรอบให้ดูต่างหน้า แต่ก็ยังเหลือต้นบัวสวรรค์และต้นโมกที่ยืนหยัดมีใบเขียวสดยืนต้อนรับให้กำลังใจอยู่หน้าบ้าน เหมือนกับจะบอกว่า ทุกอย่างมี ๒ ด้าน ทั้งกุศลวิบากและอกุศลวิบาก ตามแต่กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่ได้ทำไว้เอง (ด้วยตนเองจริงๆ ไม่มีใครทำให้)
ดีใจที่ได้คนมาช่วยทำความสะอาดบ้านเร็วทันใจ แต่จะทำเฉพาะรอบๆ บ้านก่อนเพราะโคลนตมที่มากับน้ำกำลังจะแห้ง ต้องรีบทำ ไม่อย่างนั้นจะขัดออกยาก คิดว่า พื้นไม้ภายในบ้านที่หลุดกระเด็นออกมาหลายแผ่น บางแห่งก็โก่งงอด้วยแรงอัดของน้ำ และดำด้วยขี้โคลนนั้น คงต้องให้ช่างมารื้อออก แล้วปูกระเบื้องแทน เพราะถ้าน้ำท่วมอีกในปีต่อๆ ไป จะได้ปลอดภัย ส่วนข้างฝาและผ้าม่าน (ที่ลืมปลดออก) เต็มไปด้วยคราบน้ำและราคงต้องว่ากันทีหลัง ตู้โชว์ที่สร้างติดผนังแช่น้ำนาน มีคราบน้ำและเชื้อราเช่นกัน แต่ดูแล้วไม่น่าจะเสียหายอะไร
ห้องที่เสียหายหนัก คือ ครัว เพราะตู้ติดผนังนั้นเสียหายทั้งหมด เครื่องใช้ในครัวที่ยกมาวางบนหลังตู้สูงประมาณ 1 เมตรนั้น ไม่สามารถพ้นระดับน้ำได้ ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยโคลน บางส่วนก็เสียหาย เช่น เตาไมโครเวฟ ส่วนจานชาม หม้อไหนั้นคงจะล้างทำความสะอาด นำมาใช้ใหม่ได้ ดูแล้วก็งงทำอะไรไม่ถูกว่า จะจัดการตรงไหนก่อนดี เพราะทุกที่ทุกแห่งในบ้านดูจะต้องการการจัดการให้สะอาดเรียบร้อยทั้งนั้น แต่ยังน้อยกว่าจิตในขณะนี้ที่เต็มไปด้วยอกุศล จนนึกไม่ออกว่าจะเริ่มขัดเกลาตรงไหน ต้องมาถอดเทปธรรมจึงค่อยนึกออกว่า ต้องเริ่มด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่มีบ้านของเรา ไม่มีน้ำท่วม ทุกอย่างที่มีเพราะคิดทั้งนั้น ตอนนี้น้ำก็แห้งแล้ว แต่น้ำที่ท่วมก็คือน้ำท่วมใจ ยังไม่ยอมลดนั่นเอง
อ่อนใจกับภาพบ้านชั้นล่างแล้ว ก็เลยขึ้นมาชั้นบนที่เต็มไปด้วยข้าวของที่ยกมาจากข้างล่าง แน่นจนเกือบไม่มีที่เดิน ของข้างบนทั้งหมดนี้ปลอดภัย แม้จะรกไปหน่อย แต่เห็นแล้วก็อุ่นใจว่า นี่แหละของที่สามารถใช้สอยได้ต่อไป เหมือนอริยทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญาที่จะติดตามไปให้ได้ใช้สอย คือให้เกิดกุศลจิต ซึ่งเป็นผลให้เกิดกุศลวิบาก ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นสุดภพชาติ
จะเหนื่อยใจอ่อนใจอย่างไร ก็มีงานต้องทำมากมาย แม้จะจ้างเขามาช่วยแล้วก็ตาม (แต่ก็มาคนเดียว เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ) เรากับสามีจึงช่วยกันลากกระสอบทรายที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วออกจากบ้าน (ทั้งๆ ที่ตอนน้ำกำลังจะท่วม ราคาแพงและหายากยิ่งกว่าทองคำ จนเราคนขี้เหนียวได้มาใช้แค่ 4 กระสอบ ซึ่งก็นับว่าโชคดีมาก เพราะจะได้มาถึง 100 กระสอบ ก็กั้นน้ำไม่ได้ และตอนนี้ไม่ต้องเหนื่อยขนไปทิ้งอีกด้วย) เห็นคุณวันชัย ภู่งาม เดินเข้ามา ดีใจมากที่ได้เห็นสหายธรรมที่อยู่บ้านใกล้กัน แต่บ้านเธอโชคดีที่น้ำไม่ท่วม แม้การเดินทางเข้ามาบ้านเราลำบาก รถติดมาก เพราะเป็น Big Cleaning Day เธอก็ยังอุตส่าห์มาให้กำลังใจ
เมื่อทักทายปราศรัยกันแล้ว คุณวันชัยก็เข้าไปสำรวจในบ้าน แล้วก็หายเงียบไปขัดห้องน้ำ เราเกรงใจมากบอกว่าไม่ต้องทำ เรา 2 คนจะจัดการเอง แต่เธอก็ทำจนสะอาดเอี่ยม แถมยังบอกว่า ขัดพอใช้ได้ไปก่อน เพราะห้องน้ำเป็นห้องสำคัญ ที่ต้องใช้นั่งนาน จึงต้องสะอาดไว้ก่อน ที่จริงแล้วสะอาดกว่าเวลาปกติของเราเสียอีก
ตอนนี้บ่ายแก่แล้ว เราเริ่มง่วง เพราะชินกับการนอนกลางวัน (ทั้งๆ ที่เพิ่งเกษียนมาได้ 2 เดือนกว่าๆ ก็ติดนิสัยคนชราที่เกียจคร้านแล้ว) คอยว่าคุณวันชัยกลับก็จะขึ้นไปนอนเอาแรงสักงีบ แต่คุณวันชัยไม่หยุดแค่นั้น รีบไปหยิบไม้ขัดพื้นมาขัดพื้นไม้ให้ต่อ บอกว่าถ้าทิ้งไว้ให้แห้งกว่านี้จะขัดยาก เราเกรงใจจนรู้สึกถึงความไม่สบายใจของตนเอง นึกขึ้นได้ว่า ความรู้สึกนี้เป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล น่าจะอนุโมทนากับน้องที่มาเจริญกุศลช่วยทำกิจในยามเดือดร้อน เราจะตอบแทนความดีของน้อง ด้วยการทำความดีเมื่อมีโอกาสเช่นกัน เมื่อทำจิตด้วยอุบายอันแยบคายอย่างนี้แล้ว ก็เกิดปีติในความกรุณาที่ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ของน้อง จนหายง่วง เรา 3 คน จึงช่วยกันขัดถูพื้นไม้ (เราแค่ถือสายยางฉีดน้ำ) จนสะอาดหมดจด เห็นสีเหลืองทองของไม้มะค่าอายุเก่าแก่ น้องบอกว่า ไม้นี้ราคาแพงมาก ต้องเก็บไว้ใช้ต่อไป ก็เลยเป็นอันตกลงว่า ไม่รื้อทิ้งแล้ว รอให้ไม้แห้ง แล้วก็ค่อยซ่อมทีหลัง (ประหยัดเงินไปได้หลายหมื่น)
วันรุ่งขึ้นคุณวันชัยมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาดหลายอย่าง แล้วก็หายไปซ่อมเครื่องปั๊มน้ำที่เราคิดว่าต้องซื้อใหม่แน่นอน เพราะแช่น้ำนานเป็นเดือน จนใช้การได้อย่างเก่า พร้อมกับเช็คปลั๊กไฟ สวิตช์ไฟต่างๆ จนแน่ใจว่าปลอดภัยหมด (ประหยัดเงินได้อีกแล้ว)
ไม่หมดแค่นั้น คุณวันชัยยังช่วยทำความสะอาดครัว จนหมดจด เธอบอกว่า จะได้มีที่วางของ แต่ทำไม่สะอาดเท่าไร เอาแค่พอใช้ได้ไปก่อน ซึ่งก็สะอาดกว่าที่เคยเราทำมากทีเดียว แม้เราจะเพียรพยายามบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่จะหาคนมาช่วย (แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ เพราะคนที่มาช่วยทำนั้น รับโทรศัพท์หลายครั้งแล้วก็หายไป บอกว่าเย็นๆ จะมาใหม่ เพื่อรับเงินทั้งๆ ที่งานที่ตกลงกันไว้ก็ยังไม่เสร็จ) เธอก็บอกว่า ค่อยๆ ทำไปครับบ้านเราเอง ทำเองสะอาดกว่าให้คนอื่นมาทำให้ เราฟังแล้วก็เห็นด้วย บ้านเราเองค่อยๆ ทำ ตอนนี้ก็เกษียนแล้ว มีงาน Land and House มาให้ทำ โดยไม่ต้องไปหางานพิเศษน่าจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเงินจ้าง ก็เหมือนเราได้เงินเหมือนกัน และที่สำคัญตอนนี้ ทุกบ้านก็รีบทำความสะอาด พวกรับจ้างก็สามารถขึ้นราคาได้ตามต้องการ บ้านไหนให้มากกว่าก็ไปบ้านนั้น แม้มีเงิน (จำนวนจำกัดอย่างเรา) ก็หาคนจ้างไม่ได้ ถ้าเงินไม่จำกัด ก็คงไม่มีปัญหา อย่างเพื่อนที่อยู่บางพลัดจ้างบริษัทมาทำ ราคา 25,000 บาท ซึ่งเราคิดว่าเอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไป รับไม่ได้ (ตอนนี้เลยประหยัดค่าจ้างเพิ่มอีก)
วันนี้ทำความสะอาดกัน 2 คนเป็นวันที่ 3 เห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจอย่างชัดเจน เมื่อคิดว่าจะจ้างคน ก็เกี่ยงว่า อันนี้ไม่ต้องทำ รอให้คนที่เราจ้างทำ แต่เมื่อรู้ว่าต้องทำเอง อะไรที่ขวางหน้าก็ทำได้หมด เมื่อมีความกระตือรือร้นในการทำ ใจก็คิดว่า เสร็จจากนี้แล้วจะทำอะไรต่อ ความอ่อนอกอ่อนใจกับความเสียหายก็หมดไป เพราะมุ่งแต่จะทำให้สะอาด ส่วนร่างกายที่เคยคิดว่า ตัวเองอ่อนแอ มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น แขนขวาทำงานหนักไม่ได้ เพราะผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองออกไป เมื่อใจมุ่งที่จะทำงานให้เสร็จ ก็ลืมไปว่าเป็นข้อจำกัด หรือสามีที่ปกติปวดหลัง ต้องมีผ้าพันหลัง จะทำอะไรหนักก็จะอ้างว่า จ้างคนมาช่วยถูกกว่าเสียเงินค่ายา ค่าหมอ แต่เมื่อมาทำติดต่อกัน 3 วัน ก็ลืมว่าปวดหลัง ไม่เห็นพันผ้าอีกเลย เราก็ไม่ต้องนอนตอนบ่ายเหมือนเคย รู้สึกร่างกายแข็งแรงขึ้น และเมื่อทำครบ 7 วัน ก็คงจะแข็งแรงขึ้นกว่านี้อีกมาก
ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ว่า เราอยากเป็นคนเช่นไร ก็เริ่มสะสมเสียแต่เดี๋ยวนี้ เราอยากเป็นคนมีจิตใจดี ขยันขันแข็ง ช่วยเหลือกิจของคนอื่นเหมือนกับกิจของตน อย่างน้องวันชัย ก็คงต้องเริ่มสะสมเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ หลังน้ำท่วมนี่แหละ
น้องวันชัยคงไม่ทราบว่า 2 วันที่น้องมาช่วยนั้น ไม่ได้ช่วยทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านเท่านั้น แต่ยังช่วยทำความสะอาดและซ่อมแซมจิตที่บกพร่องของพี่ด้วย น้องเป็นกัลยาณมิตรที่ทำให้ผู้เกียจคร้านเกิดความเพียร ทำให้ผู้ไม่มีศรัทธาในการช่วยทำกิจของผู้อื่นอย่างพี่ เกิดศรัทธาที่จะขวนขวายทำกิจที่เป็นประโยชน์ของผู้อื่นยิ่งขึ้นรวมทั้งคุณกัณหา อุรัสยะนันทน์ คุณขาว ที่ให้พักพิงในตอนอพยพ ขอขอบคุณ และอนุโมทนา จะตอบแทนความดีด้วยการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นค่ะ
และสุดท้ายบุคคลสำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ คุณแม่เหลื่อม เทียมสอาด ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดด้วยความเมตตา คราวนี้ลูกสาวประสบมหาอุทกภัยต้องอพยพหนีน้ำหาที่แห้งอาศัย (นึกถึงท่านผู้มีปัญญาเห็นภัยในโอฆะ คือ ห้วงน้ำใหญ่ ได้แก่ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ ที่ท่วมทับสัตว์ทั้งหลายให้จมลงในสังสารวัฏฏ์ หนีภัยสู่เกาะที่แห้ง คือ สติปัฏฐาน ส่วนเราปุถุชนกระเสือกกระสนสู่ห้วงน้ำใหญ่ ด้วยการแสวงหาอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่เกือบตลอดเวลา) ที่ไม่ได้ไปอยู่กับแม่ตั้งแต่แรก เพราะที่อยุธยาก็ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ก่อน เมื่อน้ำที่อยุธยาแห้ง แม่ได้บอกให้กลับไปอยู่กับแม่ พราะว่าบ้านแม่ก็อยู่สบายเหมือนที่อื่นๆ เช่นกัน (เพราะคุยให้แม่และญาติฟังว่า ที่พักแต่ละแห่งนั้นสะดวกสบายมาก) คราวนี้แม่และน้องสาว ปรียาภา เทียมวรรณ พร้อมครอบครัว ได้ดูแลทั้งตัวเองและสามีให้มีความสุข ความสะดวกสบายทุกอย่างตลอดเวลาเดือนกว่า นับเป็นความกรุณาที่ช่วยเหลือให้เราผู้มีความทุกข์ จากการไม่มีที่อยู่ที่กิน ให้พ้นจากทุกข์ เป็นสภาพจิตที่ประกอบไปด้วยกรุณาเจตสิก ปรารถนาให้ผู้มีทุกข์พ้นจากทุกข์ ขอกราบขอบพระคุณและขอให้เจริญในธรรม เช่น ความเมตตากรุณานี้ยิ่งๆ ขึ้นค่ะ
ขออนุโมทนาอาจารยฺ์กาญจนา และ โดยเฉพาะพี่วันชัย ภู่งาม ที่กระทำกุศลครั้งนี้ด้วยนะครับ อ่านแล้วก็รู้สึกดีมากๆ และทำให้เห็นประโยชน์ของการทำกุศลมากขึ้นจริงๆ ครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ ปิติมากๆ น้ำตาซึมเลย ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ อันเป็นกุศลนะคะ
ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ว่าเราอยากเป็นคนเช่นไร ก็เริ่มสะสมเสียแต่เดี๋ยวนี้ เรา อยากเป็นคนมีจิตใจดี ขยันขันแข็ง ช่วยเหลือกกิจของคนอื่นเหมือนกับกิจของตน อย่าง น้องวันชัย ภู่งาม ก็คงต้องเริ่มสะสมเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ หลังน้ำท่วมนี่แหละ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ
ขอบพระคุณสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ และขออนุโมทนาคุณวันชัยและทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกทุกท่านด้วยครับ
ต้องเริ่มด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้องตาม ความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีเรา ไม่มีบ้านของเรา ไม่มีน้ำท่วม ทุกอย่างที่มีเพราะคิดทั้งนั้น ตอนนี้น้ำก็แห้งแล้ว แต่น้ำที่ท่วมก็คือน้ำท่วมใจ ยังไม่ยอมลดนั่นเอง
ในยามที่ทุกข์ร้อน ในยามที่มีภัย พระธรรมเท่านนั้นเป็นที่พึ่งได้ ความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง กุศลจิต (ปัญญา) ที่เกิดขึ้นเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่แดงที่ให้ธรรมะ เป็นที่เตือนใจที่มีค่าอย่างยิ่ง
ขอบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคนดี และเข้าใจธรรมอย่าง
คุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ
ได้อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดีมากๆ เลย
ขอบคุณนะคะ
ขอให้กำลังใจและขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์กาญจนาสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้ผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันได้อ่าน เป็นประโยชน์มาก ครับและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม ด้วย ที่เป็นผู้พร้อมที่จะเจริญกุศลทุกเมื่อ ช่วยเหลือผู้อื่นได้ทุกเวลา ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยนะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ แม้จะเจอน้ำท่วมก็ยังใช้โอกาสนี้ให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจในความกุศลกรรมอันดีงามของท่านวันชัย ช่างภาพประจำมูลนิธิฯ
ป.ล. ถ้าว่างขอกราบเรียนเชิญท่านไปช่วยทำความสะอาดที่บ้านบ้างนะคะ อิ_อิ
เป็นกำลังใจและอนุโมทนาด้วยนะครับ นี้เพราะความเข้าใจธรรมะ จึงสามารถมองวิกฤติให้เป็นโอกาส บางคนน้ำลดไปแล้ว แต่ใจยังท่วมด้วยกิเลสตัณหา เพราะยังไม่รู้ว่าจะปล่อยวางยังไง.... คิดซะว่าเป็นโอกาสที่ดี เป็นบททดสอบ ว่าการศึกษาธรรมะ ที่ผ่านมาว่า จะ"เอาอยู่" หรือไม่ ส่วนคนที่เอาไม่อยู่ น้ำท่วมบ้าน ไม่พอ ยังท่วมใจอีก ซึ่งถ้าไม่มีปัญญาก็จะปล่อยวางได้ยากมาก เราแต่ละคนล้วนต้องเจอบททดสอบที่ไม่เหมือนกัน ยากบ้าง ง่ายบ้าง ตามการสั่งสม แต่ทุกสิ่งล้วนแล้วเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ทั้งนั้น ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติ จัดสรรให้ คล้ายๆ กับเป็นการย้ำเตือนว่า แท้จริงคุณค่าของชีวิต อยู่ที่อะไร อยู่ที่ความเจริญทางวัตถุภายนอก หรือ ความดีงาม อันเกิดจากศีลธรรม ของคนในสังคม เรามุ่งแต่จะพัฒนาความเจริญทางวัตถุ จนลืม ความดีงามของศีลธรรม ความถูกต้อง เพื่อนผมหลายคน สูญเสีย รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ ราคาแพงๆ ซึ่งบางคน ยังผ่อนไม่หมด แต่กลับเสียหายไป สายน้ำ..... ท้ายสุด ต้องระเหเร่ร่อน นอนตามบ้านเพื่อนเอย ตามโรงแรมเอย โดยมี แค่เสื่อผ้าติดตัว ไม่กี่ตัว ทิ้งรถหรูๆ ทิ้งบ้านราคาแพงๆ ไว้ข้างหลัง แต่หลายๆ คนกับ มีความสุขกับการใช้ชีวิต แบบไม่มีอะไร แค่มีข้าวให้กิน ที่ซุกหัวนอน มีเพื่อนๆ ให้คุย มีคนคอยให้กำลังใจ และตอนนี้ หลายคน เริ่มกลับเข้าบ้าน แต่เชื่อไหมครับ ว่าเมื่อทุกคนเห็นสภาพ ที่อยู่ตรงหน้า เริ่มแรก อาจจะยังเริ่มต้นยังไม่ถูก ไปไม่เป็น แต่เมื่อทำใจยอมรับมัน นั่นคือ ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น นั่นคือ เราได้เริ่มมองเห็น กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ ความไม่แน่นอน แล้ว ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็จะอยู่กับมัน แต่การอยู่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างแน่นอน ที่นี้เราก็จะกลับมา เริ่มต้นใหม่ว่า ต่อไปเราจะให้ความสำคัญกับอะไร อะไรคือ ความจำเป็น อะไร คือ ความอยากได้อยากมี โดยปราศจาก ความจำเป็น หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ บรรดาข้าวของราคาแพง คงจะไม่มีประโยชน์สำหรับเรา นั่นคือ เราจะมีความรอบคอบ ในการใช้ชีวิตมากขึ้น จะทำอะไร จะคิดอะไร จะคำนึงถึงความจำเป็นก่อน ความรอบคอบ ก็คือ ความไม่ประมาท นั่นเอง......และที่สำคัญที่สุด หากเราทุกคนต่างดำรงตัวเอง อยู่กับความไม่ประมาท นั่น คือ เราอยู่กับธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ