[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 753
สุตตนิบาต
อัฏฐกวรรคที่ ๔
ปสูรสูตรที่ ๘
ว่าด้วยความเห็น
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 753
ปสูรสูตรที่ ๘
ว่าด้วยความเห็น
[๔๑๕] สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยทิฏฐิ ย่อมถล่าวว่า ความบริสุทธิ์มีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้น ไม่กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่น สมณพราหมณ์เป็นอันมาก กล่าวความดีงามในศาสดาของตนเป็นต้นที่ตนอาศัยแล้ว ถือมั่นอยู่ในสัจจะเฉพาะอย่าง (มีคำว่าโลกเที่ยงเป็นต้น)
สมณพราหมณ์ เจ้าทิฏฐิ ๒ พวกนั้น ประสงค์จะกล่าวโต้ตอบกัน เข้าไปสู่บริษัท แล้วย่อมโต้เถียงกันและกันว่าเป็นคนเขลา สมณพราหมณ์เหล่านั้นต้องการแต่ความสรรเสริญ เป็นผู้มีความสำคัญว่า เราทั้งหลายเป็นคนฉลาด อาศัยศาสดาของกันและกัน เป็นต้นแล้ว ย่อมกล่าวคำทะเลาะกัน.
บุคคลปรารถนาแต่ความสรรเสริญ ขวนขวายหาถ้อยคำวิวาท กระทบกระเทียบกันในท่ามกลางบริษัท แต่กลับเป็นผู้เก้อเขินในเพราะวาทะอันผู้ตัดสินปัญหาไม่ทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 754
ให้เลื่อมใส บุคคลนั้นเป็นผู้แสวงหาโทษ ย่อมโกรธเพราะความนินทา.
ผู้พิจารณาปัญหาทั้งหลายกล่าววาทะใดของบุคคลนั้นอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้ว ว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้น บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมแล้วนั้น ย่อมคร่ำครวญเศร้าโศก ทอดถอนใจว่า ท่านผู้นี้กล่าวสูงเกินเราไป.
ความวิวาทเหล่านี้เกิดแล้วในพวกสมณะ ความกระทบกระทั่งกัน ย่อมมีในเพราะวาทะเหล่านี้ บุคคลเห็นโทษแม้นี้แล้ว พึงเว้นความทะเลาะกันเสีย ความสรรเสริญ และลาภ ย่อมไม่มีเป็นอย่างอื่นไปเลย.
ก็หรือบุคคลนั้นกล่าววาทะในท่ามกลางบริษัท เป็นผู้อันบุคคลสรรเสริญแล้ว ในเพราะทิฏฐินั้น ย่อมรื่นเริง ใจสูงขึ้น เพราะต้องการชัยชนะและมานะนั้น ได้ถึงความต้องการชัยชนะนั้นสมใจนึก.
การยกตนของบุคคลนั้น เป็นพื้นฐานแห่งความกระทบกัน และบุคคลนั้นย่อมกล่าวถึงการถือตัวและการดูหมิ่นผู้อื่น บุคคลเห็นโทษแม้นี้แล้ว พึงเว้นความทะ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 755
เลาะกันเสีย ผู้ฉลาดทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการทะเลาะกันนั้น.
บุคคลผู้เจ้าทิฏฐิปรารถนาพบบุคคลเจ้าทิฏฐิ ผู้เป็นปฏิปักษ์กัน ย่อมคำรามเปรียบเหมือนทหารผู้กล้าหาญ ซึ่งพระราชาทรงเลี้ยงแล้วด้วยราชขาทนียาหาร ปรารถนาพบทหารผู้เป็นปฏิปักษ์กัน ย่อมคำราม ฉะนั้น.
ดูก่อนท่านผู้องอาจ บุคคลเจ้าทิฏฐิ เป็นปฏิปักษ์ของท่านนั้น มีอยู่ ณ ที่ใด ท่านจงไป ณ ที่นั้นเถิด กิเลสชาติเพื่อการรบนี้ ไม่มีในกาลก่อนเลย (กิเลสชาตินั้นเราผู้ตถาคตละเสียแล้ว ณ ควงแห่งไม้โพธินั้นแล)
สมณพราหมณ์เหล่าใดถือรั้นทิฏฐิแล้ว ย่อมวิวาทกันและย่อมกล่าวว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง ท่านผู้กระทำความเป็นข้าศึกในวาทะ (ถ้อยคำ) ที่เกิดขึ้น จงกล่าวทุ่มเถียงกะสมณพราหมณ์เหล่านั้นเถิด พราหมณ์เหล่านั้นไม่มีในที่นี้เลย.
ส่วนพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย กำจัดเสนา คือกิเลสให้พินาศแล้ว ไม่กระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 756
ทำความเห็นให้ผิดไปจากความเห็น เที่ยวไปอยู่ ดูก่อนปสูระ ท่านจะได้สู้รบโต้ตอบอะไร ในพระอรหันต์ผู้ไม่มีความยึดถือว่าสิ่งนี้ประเสริฐในโลกนี้.
ถ้าท่านคิดถึงทิฏฐิทั้งหลายอยู่ด้วยใจ ถึงความตรึกไปต่างๆ คือเอาความเป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้า ผู้กำจัดกิเลสได้แล้วไซร้ ท่านจะสามารถเพื่อถือเอาความเป็นคู่แข่งให้สำเร็จไม่ได้เลย.
จบปสูรสูตรที่ ๘
อรรถกถาปสูรสูตรที่ ๘
ปสูรสูตร มีคำเริ่มต้นว่า อิเธว สทฺธี สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยทิฏฐิ ย่อมกล่าวว่า ความบริสุทธิ์มีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้น ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ปริพาชกชื่อว่า ปสูระ เป็นผู้มีวาทะจัดจ้าน เขาพูดว่า ในชมพูทวีปทั้งสิ้นเราเป็นผู้เลิศด้วยวาทะ เพราะฉะนั้นต้นชมพูปรากฏแก่ชมพูทวีปฉันใด แม้เราก็ควรเป็นฉันนั้น จึงเอากิ่งชมพูทำเป็นธง ทำให้ผู้โต้วาทะครั่นคร้ามไปทั่วชมพูทวีป เขาเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ ก่อกองทรายไว้ที่ประตูเมือง ปัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 757
กิ่งชมพูไว้ที่กองทรายนั้น กล่าวว่าผู้ใดสามารถโต้วาทะกับเรา ผู้นั้นจงหักกิ่งไม้นี้แล้วเข้าเมืองไป. มหาชนได้ยืนล้อมที่นั้น.
สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรกระทำภัตกิจเสร็จแล้วออกจากกรุงสาวัตถี เห็นกิ่งไม้นั้น จึงถามพวกเด็กๆ หลายคนว่า เจ้าหนูทั้งหลาย นี่อะไรกัน พวกเด็กบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ. พระเถระกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงถอนกิ่งไม้นั้นแล้วเอาเท้าหักเสีย กล่าวว่า พวกเธอจงบอกเขาว่า ผู้ต้องการโต้วาทะ จงมายังวิหาร ดังนี้. ปริพาชกเที่ยวบิณฑบาตทำภัตกิจเสร็จแล้วเดินกลับ เห็นกิ่งไม้ถูกถอนแล้วหักทิ้งจึงถามว่านี่ใครทำ เมื่อได้รับคำตอบว่า พระสารีบุตร ผู้เป็นพุทธสาวกให้เด็กทำ เขายินดีคิดว่าวันนี้พวกบัณฑิตจะได้เห็นความชนะของเราและความปราชัยของสมณะ จึงเข้าไปกรุงสาวัตถีเพื่อนำผู้รู้เหตุเป็นผู้ทดสอบปัญหา แล้วเที่ยวประกาศไปตามถนนและทางสี่แพร่งว่า ท่านทั้งหลายประสงค์จะฟังความเฉียบแหลมด้วยปัญญาในการโต้วาทะกับอัครสาวกของพระสมณโคดมจงพากันออกมา. พวกมนุษย์เป็นอันมากที่เลื่อมใสบ้าง ไม่เลื่อมใสบ้างในพระศาสนาพากันออกไปด้วยคิดว่าจักฟังถ้อยคำของบัณฑิต. ลำดับนั้นปสูรปริพาชกแวดล้อมด้วยมหาชน ตรึกวาทะมีอาทิว่า เมื่อพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้เราจักกล่าวอย่างนี้ได้ไปยังวิหาร. พระเถระดำริว่า เสียงเอ็ดอึง และรบกวนผู้คนอย่าได้มีในวิหารเลย จึงให้ปูอาสนะเเล้วนั่งที่ซุ้มประตูพระเชตวัน. ปริพาชกเข้าไปหาพระเถระกล่าวว่า บรรพชิตผู้เจริญ ท่านให้เด็กหักธงกิ่งชมพูของเราหรือ? เมื่อพระเถระตอบว่า เป็นความจริงปริพาชก. เขาจึงกล่าวว่า ช่างเถิด ท่านผู้เจริญ เราทั้งสองเริ่มกล่าวอะไรๆ กันเถิด. พระเถระรับว่า ตกลงปริพาชก. เขากล่าวว่า สมณะท่านจงถาม ข้าพเจ้าจะแก้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 758
ครั้งนั้น พระเถระได้กล่าวกะปริพาชกว่า ดูก่อนปริพาชก ถามยากหรือแก้ยาก. เขาตอบว่า บรรพชิตผู้เจริญ การแก้ยากกว่าถาม เพราะใครจะถามอย่างไรๆ ก็ได้. พระเถระกล่าวว่า ปริพาชก ถ้าเช่นนั้นท่านถามเถิด เราจักแก้. เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้วปริพาชกคิดพิศวงว่า ภิกษุดูก็มีรูปงาม ให้เด็กเอาเท้าหักกิ่งไม้ได้ จึงถามพระเถระว่า อะไรเป็นกามของบุรุษ. พระเถระตอบว่า ความกำหนัดเพราะดำริ เป็นกามของบุรุษ. ปสูรปริพาชกฟังดังนั้น มีความสำคัญในพระเถระว่าพลาดไปแล้ว ประสงค์จะยกให้พระเถระเป็นผู้แพ้ จึงกล่าวว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญ ท่านมิได้กล่าวถึงอารมณ์อันงดงามวิจิตรว่า เป็นกามของบุรุษดอกหรือ. พระเถระตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก เราไม่กล่าวอย่างนั้น. แต่นั้นปริพาชกให้พระเถระรับรองตลอด ๓ ครั้งแล้วเรียกผู้ตัดสินปัญหามาว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังความผิดในวาทะของสมณะเถิด แล้วกล่าวว่า บรรพชิตผู้เจริญ เพื่อนพรหมจรรย์ของท่านยังอยู่ในป่าหรือ. พระเถระตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก. ถามว่า เพื่อนพรหมจรรย์เหล่านั้นอยู่ในป่า ยังตรึกถึงกามวิตกเป็นต้นอยู่หรือ. ตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก ปุถุชนทั้งหลายยังตรึกอยู่เป็นประจำ. ถามว่า ผิว่าเป็นอย่างนั้น ความเป็นสมณะของเพื่อนพรหมจรรย์เหล่านั้นอยู่ที่ไหนเล่า นอกนั้นยังเป็นผู้บริโภคกามครองเรือนอยู่มิใช่หรือ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
สิ่งสวยงามในโลกมิใช่กามของท่าน และท่านกล่าวความกำหนัดเพราะความดำริว่าเป็นกาม แม้ภิกษุของท่านเมื่อดำริในอกุศลวิตก ก็จักเป็นผู้บริโภคกาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 759
ลำดับนั้น พระเถระเมื่อจะแสดงความผิดในวาทะของปริพาชกจงกล่าวว่า ปริพาชกท่านไม่กล่าวถึงความกำหนัดเพราะความดำริว่าเป็นของบุรุษ ท่าน กล่าวถึงอารมณ์งดงามวิจิตรว่าเป็นกามหรือ. ปสูรปริพาชกตอบว่า ถูกแล้วบรรพชิตผู้เจริญ. ลำดับนั้น พระเถระให้ปสูรปริพาชกรับรองตลอด ๓ ครั้ง แล้วเรียกผู้ตัดสินปัญหามาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงฟังความผิดในวาทะของปริพาชกเถิด แล้วกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสปสูระ ศาสดาของท่านยังมีอยู่หรือ. ปสูระตอบว่า ยังมีอยู่บรรพชิต. ถามว่า ศาสดานั้นย่อมเห็นรูปารมณ์ที่ควรรู้ได้ด้วยจักษุ หรือว่าเสพสัททารมณ์เป็นต้น. ปริพาชกตอบว่า ใช่ ย่อมเสพบรรพชิต ถามว่า ผิว่าเป็นอย่างนั้น ความเป็นศาสดาของศาสดานั้นอยู่ที่ไหน ศาสดานั้นยังเป็นผู้บริโภคกามครองเรือนอยู่มิใช่หรือ ครั้นพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ความงดงามในโลกเป็นกามของท่านแล ท่านไม่กล่าวถึงความกำหนัดเพราะความดำริว่าเป็นกาม เมื่อเห็นรูปน่ารื่นรมย์ เมื่อฟังเสียงน่ารื่นรมย์ เมื่อดมกลิ่นน่ารื่นรมย์ เมื่อลิ้มรสน่ารื่นรมย์ เมื่อถูกต้องผัสสะ น่ารื่นรมย์ แม้ศาสดาของท่านก็จักเป็นผู้ยังบริโภคกามอยู่.
เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกจนปัญญาคิดว่า บรรพชิตนี้เป็นผู้มีวาทะน่านับถือเราจักบวชในสำนักของบรรพชิตนี้แล้วศึกษาตำราการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 760
พูด จึงเข้าไปยังกรุงสาวัตถีแสวงหาบาตรจีวรเข้าไปยังพระเชตวัน เห็นพระโลฬุทุายี ณ ที่นั้นมีกายสีทองน่าเลื่อมใสโดยตลอดในอาการร่างกายและมารยาท เข้าใจว่าภิกษุรูปนี้คงมีปัญญามาก คงเป็นนักพูด จึงบวชในสำนักของท่านแล้ว ข่มท่านด้วยวาทะหลีกเข้าไปสู่ลัทธินั้นแหละพร้อมด้วยเพศแล้วคิดว่าเราจักทำ การโต้วาทะกับพระสมณโคดมอีก จึงประกาศในกรุงสาวัตถีโดยนัยก่อนนั้นแล แวดล้อมด้วยมหาชน กล่าวอยู่ว่าเราจักข่มพระสมณโคดมเป็นต้นได้ไปยังพระเชตวัน. เทวดาที่สิงอยู่ ณ ซุ้มประตูพระเชตวันคิดว่า ผู้นี้ไม่ควรต้อนรับจึงได้บันดาลปิดปากเขาเสีย ปสูระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งเหมือนคนใบ้. พวกมนุษย์คิดว่า เดี๋ยวท่านปสูระคงจักถามต่างมองหน้าปสูระนั้น แล้วพากันตะโกนว่า ท่านปสูระพูดซิ ท่านปสูระพูดซิ. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปสูระจะพูดได้อย่างไร เมื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นจึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
ในคาถาต้นนั้นพึงทราบความสังเขปดังต่อไปนี้ สมณพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยทิฏฐิเหล่านี้ย่อมกล่าวว่า ความบริสุทธิ์มีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้นหมายถึงทิฏฐิของตน แต่ไม่กล่าวถึงความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่น. เมื่อเป็นอย่างนี้ สมณพราหมณ์เป็นอันมากกล่าวความดีงามในศาสดาเป็นต้นของตนที่ตนอาศัยแล้วเท่านั้นว่านี้เป็นวาทะอันดีงาม ยึดมั่นในสัจจะเฉพาะอย่างมีว่าโลกเที่ยงเป็นต้น. พึงทราบคาถาว่า ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นยึดมั่นอย่างนี้ ประสงค์จะกล่าวโต้ตอบกัน,
ในบทเหล่านั้น บทว่า พาลํ ทหนฺติ มิถุ อญฺมญฺํ ย่อมโต้เถียงกันและกันว่าเป็นคนเขลา คือชนทั้งสองนั้นย่อมโต้เถียงกันและกัน ว่าเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 761
คนเขลา ย่อมเห็นโดยความเป็นคนเขลาว่า คนนี้เป็นคนเขลา คนนี้เป็นคนเขลา ดังนี้. บทว่า วทนฺติ เต อญฺสิตา กโถชฺชํ คือ สมณพราหมณ์ เหล่านั้นอาศัยศาสดาของกันและกันเป็นต้น ย่อมกล่าวคำทะเลาะกัน. บทว่า ปสํสกามา กุสลาวทานา ปรารถนาความสรรเสริญสำคัญว่าเราเป็นคนฉลาด คือ ปรารถนาแต่ความสรรเสริญเป็นผู้มีความสำคัญว่า แม้เราทั้งสองก็เป็นผู้มีวาทะฉลาด มีวาทะเป็นบัณฑิต. พึงทราบคาถาต่อไปว่า ยุตฺโต กถายํ ขวนขวายหาถ้อยคำวิวาท โดยกำจัดวาทะหนึ่งในบรรดาวาทะเหล่านั้น อย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยุตฺโต กถายํ คือ ขวนขวายหาถ้อยคำวิวาท. บทว่า ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ปรารถนาแต่ความสรรเสริญกระทบกระเทียบกัน คือ ปรารถนาความสรรเสริญของตนกล่าวถ้อยคำกระทบกระเทียบกันมาก่อน โดยนัยมีอาทิว่าเราจักข่มได้อย่างไรหนอ. บทว่า อปาหตสฺมึ ในเพราะวาทะอันผู้ตัดสินไม่ทำให้เลื่อมใส ความว่า ในเพราะวาทะอันผู้ตัดสินปัญหาไม่ทำให้เลื่อมใสโดยนัยมีอาทิว่า ท่านกล่าวปราศจากอรรถ ท่านกล่าวปราศจากพยัญชนะ ดังนี้. บทว่า นินฺทาย โส กุปฺปติ บุคคลนั้นย่อมโกรธเพราะความนินทา คือบุคคลนั้นย่อมโกรธเพราะความนินทาอันเกิดขึ้นในวาทะอันผู้ตัดสิน ไม่ทำให้เลื่อมใสอย่างนี้. บทว่า รนฺธเมสี คือผู้แสวงหาโทษของคนอื่น. พึงทราบคาถาต่อไปว่า ไม่แต่โกรธอย่างเดียว ยังกล่าววาทะของบุคคลนั้นว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้นอีกด้วย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปริหีนมาหุ อปาหตํ ผู้ตัดสินปัญหาทั้งหลาย กล่าววาทะของบุคคลอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้วว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้น คือ กล่าว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 762
วาทะอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้วโดยอรรถและโดยพยัญชนะเป็นต้นว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้น. บทว่า ปริเทวติ บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมย่อมคร่ำครวญ คือ บุคคลนั้นย่อมบ่นเพ้อด้วยคำมีอาทิว่า เรานึกถึงวาทะอื่นแล้วอันมีวาทะที่ไม่ทำให้เลื่อมใสนั้นเป็นนิมิต. บทว่า โสจติ บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมสิ้นย่อมเศร้าโศก คือ ย่อมเศร้าโศกปรารภคำมีอาทิว่า เขานั่นแหละเป็นผู้ชนะ. บทว่า อุปจฺจคา มนฺติ อนุตฺถุนาติ ผู้มีวาทะเสื่อมย่อมทอดถอนใจว่าท่านผู้นี้กล่าวสูงเกินเราไป คือ เขาบ่นเพ้อเป็นอย่างดีโดยนัยมีอาทิว่า มีวาทะเกินเราไป.
ปริพาชกภายนอกท่านเรียกว่า สมณะ ในบทนี้ว่า เอเต วิวาทา สมเณสุ ความวิวาทเกิดแล้วในพวกสมณะ. บทว่า เอเตสุ อุคฺฆาติ นิคฺฆาติ โหติ ความกระทบกระทั่งกัน ย่อมมีในเพราะวาทะเหล่านี้ คือมีจิตกระทบกระทั่งกันด้วยการชนะและการแพ้เป็นต้น ย่อมมีในวาทะเหล่านั้น. บทว่า วิรเม กโถชฺชํ คือพึงเว้นการทะเลาะกันเสีย. บทว่า น หญฺทตฺถตฺถิ ปสํสลาภา ความสรรเสริญและลาภย่อมไม่มีเป็นอย่างอื่นไปเลย คือ ไม่มีความต้องการอย่างอื่นนอกจากความสรรเสริญและลาภในวาทะนี้.
พึงทราบความคาถาที่หกต่อไป. ก็เพราะความสรรเสริญและลาภย่อมไม่มีเป็นอย่างอื่นไป ฉะนั้น บุคคลนั้นแม้ได้ลาภอย่างยิ่งก็ยังกล่าววาทะนั้น ในท่ามกลางบริษัทเป็นผู้อันบุคคลสรรเสริญในเพราะทิฏฐินั้นว่า ผู้นี้เป็นคนดี แต่นั้นบุคคลนั้น ด้วยต้องการความชนะนั้นจึงถึงความยินดีหรือยิ้มแย้ม ย่อมรื่นเริงและเย่อหยิ่งด้วยมานะ. เพราะเหตุไร. เพราะได้ถึงความต้องการชัยชนะนั้นสมใจนึก. พึงทราบคาถาว่า การยกตนของบุคคลผู้ยกตนเป็นอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 763
ในบทเหล่านั้น มานาติมานํ วทเต ปเนโส บุคคลนั้นย่อมกล่าวถึงการถือตัวและการดูหมิ่น คือ บุคคลนั้นไม่รู้ถึงการยกตนนั้นว่าเป็นพื้นแห่งความกระทบกัน ย่อมกล่าวถึงการถือตัวและการดูหมิ่นอยู่นั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงโทษในวาทะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อไม่ทรงรับวาทะของปสูรปริพาชกนั้น จึงตรัสคาถาว่า สูโร ผู้กล้าหาญ ดังนี้เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ราชขาทาย ได้แก่ราชขาทนิยาหาร (อาหารที่พระราชาพระราชทานเลี้ยง). ท่านอธิบายว่า ด้วยค่าจ้างคือภัต. (๑) บทว่า อภิคชฺชเมติ ปฏิสูรมิจฺฉํ ปรารถนาพบทหารผู้เป็นปฏิปักษ์กันย่อมคำราม คือ ท่านแสดงว่าบุคคลผู้นั้นเป็นเจ้าทิฏฐิ ปรารถนาพบบุคคลผู้เป็นเจ้าทิฏฐิ เหมือนผู้กล้าหาญปรารถนาพบผู้เป็นปฏิปักษ์กัน ย่อมคำรามเข้าหากัน ฉะนั้น. บทว่า เยเนว โส เตน ปเลหิ ได้แก่ ท่านจงไปยังที่ที่บุคคลผู้เป็นเจ้าทิฏฐิผู้เป็นปฏิปักษ์ของท่านอยู่เถิด. บทว่า ปุพฺเพว นตฺถิ ยทิทํ ยุธาย กิเลสชาติ เพื่อการรบนี้มิได้มีในกาลก่อนเลย คือท่านแสดงว่ากิเลสชาติเพื่อการรบนี้มิได้มีในกาลก่อนเลย กิเลสชาตินั้นเราตถาคตละเสียได้ ณ ควงแห่งต้นโพธิ์นั่นแล. คาถาที่เหลือมีการเชื่อมกันชัดแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิวาทยนฺติ คือ วิวาทกัน. บทว่า ปฏิเสนิกตฺตา ท่านผู้กระทำเป็นข้าศึก คือ ผู้ทำตรงกันข้าม. บทว่า วิเสนิกตฺวา คือกำจัดเสนา คือกิเลสให้พินาศไป. บทว่า กึ ลเภถ ท่านจะได้อะไร คือ ท่านจักได้สู้รบโต้ตอบอะไร. บทว่า ปสูร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกปริ-
๑. ม. บาลีว่า ภตฺตเวตเนน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 764
พาชกนั้น. บทว่า เยสีธ นตฺถิ คือ ในพระอรหันต์ผู้ไม่มีความยึดถือในโลกนี้. บทว่า ปวิตกฺกํ ความตรึกทั่วไป คือ ความตรึกมีอาทิว่า ความชนะจักมีแก่เราในที่นี้หรือไม่หนอ. บทว่า โธเนน ยุคํ สมาคมา ถือความเป็นคู่แข่งกับท่านผู้กำจัดกิเลส คือ ถือความเป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้าผู้กำจัดกิเลสได้แล้ว. บทว่า น หิ ตวํ สกฺขสิ สมฺปยาตเว ท่านจะไม่อาจถือความเป็นคู่แข็งให้สำเร็จได้เลย ความว่า ท่านไม่สามารถจะถือความเป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้าผู้กำจัดกิเลส ให้สำเร็จได้แม้แต่บทเดียว หรือ ยังการถือความเป็น คู่แข่งให้ถึงพร้อมได้ เหมือนหมาไนเป็นต้น ไม่สามารถแข่งกับราชสีห์เป็นต้น ได้ฉะนั้น. บทที่เหลือในบททั้งปวง ปรากฏชัดแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาปสูรสูตรที่ ๘ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา