ดิฉันพาครอบครัวซึ่งมี บิดามารดา พี่และน้องไปทำบุญ และค้างที่วัดเป็นประจำเดือนละ ๑ ครั้ง ได้เห็นทั้งสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลได้เห็นธรรมมากมาย ที่ไม่เคยได้อ่านในตำรา อย่างเช่นวันนี้ขณะที่สนทนาธรรมอยู่ที่ศาลา มีชายคนหนึ่งมาของานทำ (เขาเป็นช่างปูน) พระอาจารย์บอกว่าช่วงนี้ยังไม่มีงานถ้ามีเมื่อไหร่จะให้คนไปตาม และพระอาจารย์ก็ให้เขาทานข้าวที่วัดก่อนกลับ ชายผู้นั้นก็ลากลับ สักพักมีชายคนหนึ่งขี่รถซาเล้งมอเตอร์ไซด์พาผู้หญิงอีกสองและเด็กเล็กๆ อีกประมาณ ๓-๔ คน คนที่เป็นชายเดินลงจากรถมาคนเดียว เข้ามาหาพระอาจารย์ ท่านก็ถามตรงๆ ว่ามานี่มีธุระอะไร เขาบอกว่ามีคนให้มาหามีงานให้ทำหรือไม่พระอาจารย์บอกไม่มี เขาก็ยังไม่ลุกไปเหมือนชายคนแรก พระอาจารย์จึงถามว่าจะเอาอะไร เขาขอขนมและอาหารที่อยู่ในถาดตรงหน้าพระอาจารย์ก็อนุญาต (ให้หมดถาด) เขาก็ยังไม่ไปแต่เอ่ยปากขอค่าน้ำมันรถ พระอาจารย์ปฏิเสธ บอกที่นี่ไม่ได้รับกิจนิมนต์ไม่มีเงินให้ เขาจึงพาพรรคพวกกลับไป
ตอนที่เขาเอ่ยปากขอเงินกับพระอาจารย์ดิฉันเกือบจะให้เขาแทนพระอาจารย์แล้ว แต่มาคิดอีกทีหากให้ไปโดยง่ายก็คงจะไม่ดีแน่ นี่หากเขาอาสาขอทำความสะอาดวัดให้ ดิฉันคงไม่ลังเลใจที่จะให้เงินกับเขา จึงอยากเรียนถามว่า ในสมัยพุทธกาลมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ค่ะ
ถ้าเราศึกษาเรื่องของโลกหรือเหตุการณ์ที่เป็นไปกับโลก ทุกยุคทุกสมัยจะพบความเป็นไปที่มีซ้ำๆ กันอยู่เสมอ เพราะมันก็เช่นนั้นเอง ว่าตามปรมัตถธรรมก็คือ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบกันไป หรือเป็นเพียงอายตนะที่ประชุมกันทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจหรือกองแห่งขันธ์เป็นไป หรือเป็นธัมมะอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้วก็ผ่านไป ขณะนี้ก็กำลังผ่านไป ควรศึกษาอะไรดีครับ...
ทุกอย่างเกิดแล้วดับ หมดไปทุกขณะ และจะไม่กลับมาอีกเลย ขณะที่ประเสริฐที่สุดคือ
ขณะที่ได้ยินได้ฟังธรรมที่ทำให้ละความไม่รู้ ละอกุศลคือความไม่ดีทางกาย ทางวาจาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ควรเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่เป็นจริง เป็นสัจจะคือสภาพธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่เห็นจะมีเรื่องราวให้คิดนึกไหม ถ้าไม่ได้ยินจะคิดนึกเป็นเรื่องนั้น เรื่องนี้ไหม ถ้าไมได้กลิ่นก็จะไม่มีเรื่องราวต่างๆ เลย ดังนั้นสิ่งที่มีจริงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ทุกยุค ทุกสมัยคือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นจิต เจตสิก รูป เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เห็น ไม่ว่าจะสมัยนี้ หรือสมัยพุทธกาลก็เป็นสิ่งที่มีจริงไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเลย คือทำหน้าที่เห็นสิ่งต่างๆ สีต่างๆ นี่คือธรรม สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อเข้าใจความจริงว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริง ก็ย่อมรู้ว่าขณะไหนเป็นเรื่องราวที่คิดนึก ขณะไหนเป็นความจริง ย่อมเป็นหนทางในการเจริญของปัญญา และสามารถดับกิเลสได้ ความจริงไม่ได้แยกไปจากชีวิตประจำวัน เพียงแต่ไม่มีปัญญาที่รู้ความจริงที่มีในชีวิตประจำวันครับ
ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"ได้เห็นทั้งสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลได้เห็นธรรมมากมาย ที่ไม่เคยได้อ่านในตำรา..."
ผู้ศึกษาธรรม ย่อมทราบว่า สิ่งที่ได้ศึกษา (จากที่เรียกว่าตำรา-ปริยัติ) นั้น คือสิ่งที่มีอยู่ในทุกๆ ขณะนี้เอง ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นแต่เรื่องราว ไม่มีวันจบสิ้น กี่ยุคสมัยก็เป็นแต่เรื่องราว สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้ศึกษาในทุกๆ ขณะนี้ต่างหากที่ควรสนใจ ใส่ใจศึกษา ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ปัญญาเท่านั้นที่จะนำหมู่สัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์อันยาวไกลนี้
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
* * * * * ขออนุโมทนาทุกความคิดเห็นค่ะ * * * * *
บางครั้งเราก็ลืมไปว่า ขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่นน่าจะพิจารณาสภาพจิตของตนขณะนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร อกุศลของใคร กุศลของใคร ก็ของคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพราะทุกคนต่างอยู่ในโลกคนละใบค่ะ.
บางครั้งเราก็ลืมไปว่า ขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่นน่าจะพิจารณาสภาพจิตของตนขณะนั้นว่ามีลักษณะอย่างไรอกุศลของใคร กุศลของใคร ก็ของคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพราะทุกคนต่างอยู่ในโลกคนละใบค่ะ. สาธุ
อนุโมทนาคะ