การที่กุศลประการต่างๆ (ที่ยังไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย) จะเกิดขึ้นได้นั้นก็เพราะขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ จึงเกิดขึ้นได้ อย่างในกรณีให้ทาน ถ้ายังมีโลภะอยู่ก็ยากที่จะสละวัตถุสิ่งของอันเป็นของตนให้เป็นทานได้ หรือในขณะที่กำลังโกรธกำลังขุ่นเคืองใจ ก็ยากที่จะสละวัตถุสิ่งของให้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น กุศลประเภทนี้จึงมีเพียงเหตุ ๒ เกิดร่วมด้วยเท่านั้น คือ อโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ ส่วนกุศลที่ประกอบด้วยปัญญานั้น ต้องมีโสภณเจตสิก ซึ่งเป็นเหตุ ๓ ประการเกิดร่วมด้วยกับจิตในขณะนั้น คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ สำหรับอโมหเหตุนั้น คือ ปัญญา เป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก การที่ได้เจริญกุศลใดๆ ก็ตามที่ประกอบด้วยปัญญา ย่อมเป็นกุศลที่ประเสริฐ แต่การเจริญกุศลนั้นไม่มีเฉพาะเพียงทานเท่านั้น ยังมีกุศลประการอื่นๆ อีก
ขออนุโมทนาค่ะ แต่ก่อนฟังพระธรรมหรืออ่านธรรมะทั่วๆ ไปก็ไม่ค่อยพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้ง เมื่อฟังบ่อยๆ สติค่อยๆ เกิด ระลึกศึกษาสภาพธรรมะที่ปรากฎบ้างวันนี้ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกถึงเหตุถึงผลของการเจริญปัญญา ซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเกิดเมื่อใด เพราะการฟังที่มากขึ้นและความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้นละเอียดขึ้นตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้นจะขาดการฟังไม่ได้เลย อีกทั้งการเจริญปัญญาด้วยการระลึกศึกษาสภาพธรรมะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมต่อไป
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ