ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ภาวะ คือ อะไร? "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๕
~ ภาวะ คือ ความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง
~ เดี๋ยวนี้ แข็งมีจริง เห็นมีจริง ภาวะของแข็งเป็นแข็งไม่ใช่เห็น ภาวะของเห็นเป็นเห็นไม่ใช่แข็ง
~ ภาวะที่เค็ม มีไหม? อะไรเป็นภาวะที่เค็ม? ภาวะของเค็มก็คือเค็ม ถูกต้องที่สุด นั่นแสดงว่า เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งที่มีจริงๆ เป็นหนึ่ง เค็มเป็นเห็นไม่ได้ เค็มเป็นเราไม่ได้ เค็มเป็นชอบไม่ได้ ภาวะที่เค็มนั่นเองคือเค็ม เป็นภาวะของเค็ม
~ ต้องเข้าใจว่า ศึกษาธรรม ไม่ลืมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น นี่คือ ศึกษาธรรม ถ้าง่ายๆ ไม่ใช่ศึกษาธรรม คิดว่ารู้แล้ว ไม่ใช่ศึกษาธรรม แต่ศึกษาธรรม เพราะธรรมมีตลอดเวลา แต่ไม่รู้จักธรรม
~ คำถามทุกคำถาม จะทำให้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการรู้ โดยเป็นความเข้าใจของเขาเอง คนที่ได้ฟังคำถาม เป็นคนที่มีบุญมาก เพราะว่า เป็นคนที่สามารถที่จะเห็นความลึกซึ้งของพระธรรมซึ่งต้องเป็นความเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่ฟังแล้วตาม พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ก็ตาม นั่นไม่ใช่ แต่ต้องเป็นความเข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงแสดงความจริงซึ่งทุกคนต้องไตร่ตรองเอง
~ มีแข็ง แล้วมีเราไหม? ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น นี่เป็นการเริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่มีภาวะที่เป็นอย่างนั้นเท่านั้นทั้งหมด ไม่ว่าที่ตัว ที่นอกตัว หรือที่ไหนทั้งสิ้น
~ ภาวะคือสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งนั้นเท่านั้นตามความเป็นจริง
~ ทั้งหมด มีแต่สิ่งที่มีภาวะความเป็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
~ ถ้าไม่เข้าใจความไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เป็นธรรม มีภาวะของธรรมนั้นๆ จะไม่สามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่เข้าใจความหมายของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น ต้องตั้งต้นตั้งแต่เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรม คือ อะไร ภาวะ คือ อะไร
~ ขณะที่ไม่เข้าใจธรรม ความไม่เข้าใจธรรม มีจริงๆ ไหม? ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ไม่เข้าใจ ใช่ไหม? ความไม่เข้าใจ เป็นภาวะที่ไม่เข้าใจ หรือเปล่า? เป็นภาวะที่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจว่า ความไม่เข้าใจ มีจริงๆ เป็นภาวะที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า? ภาวะที่ไม่เข้าใจ เป็นคุณอาคิล เป็นคุณอาช่า เป็นคุณมธุ หรือเปล่า? ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะมีคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงภาวะนั้น โดยชื่อว่า อวิชชา ความไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อมีอวิชชา ความไม่รู้ ก็หลงเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีจริงๆ จึงมีอีกคำหนึ่ง ว่า โมหะ ความหลง ความไม่รู้ความจริง
~ ฟังธรรม ลึกซึ้งมาก ต้องค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะละความเป็นเรา เพราะความจริง ไม่มีเราเลย แต่มีธรรมทั้งหมด
~ ฟังธรรม ก็คือ ฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้นในความเป็นสิ่งนั้น แต่ต้องไม่ลืม ว่า ต้องเข้าใจภาวะความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ และความเป็นจริงนั้น ก็คือว่า เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น
~ เห็นเดี๋ยวนี้ มีไหม? (มี) เห็น เค็มไหม? (เห็น ไม่เค็ม) แล้วเค็ม เห็นไหม? (เค็ม ไม่เห็น) เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีเค็มไหม? คุณอาช่า ทำเค็ม ให้เกิดได้ไหม? (ไม่ได้) ทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ไหม? (ไม่ได้)
~ รู้ไหม ว่า ทำไมจึงเห็น? เพราะมีเหตุปัจจัย
~ ต้องไตร่ตรอง ต้องไม่ลืม ในพระไตรปิฎก ข้อความอธิบายเรื่องจิต ลักษณะของจิต ก็มี แต่ว่าขาดการไตร่ตรองหรือเปล่า หรือเพียงแต่อ่านแล้วจำ?
~ เดี๋ยวนี้กำลังเห็นสีสันวรรณะ ใช่ไหม? สีหนึ่ง ต่างกับสีหนึ่ง ถ้าจิตไม่รู้แจ้ง จะรู้ไหมว่า ไม่ใช่สีเดียวกัน
~ จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ทำไมเป็นเสียงคุณอาคิล เสียงคุณสุคิน เสียงคุณอาช่า เสียงคุณมธุ เพราะเสียงต่างๆ มี และจิต รู้แจ้งความต่างของเสียงนั้น เพราะฉะนั้น จิต รู้แจ้งเสียงต่างๆ ทีละหนึ่งเสียง
~ เวลาได้กลิ่น มีหลายๆ กลิ่น แม้แต่กลิ่นหอมแต่ละชนิด ก็ไม่เหมือนกัน เพราะจิตรู้แจ้งขณะที่กลิ่นหนึ่งปรากฏ
~ จิตเกิดขึ้น รู้แจ้งเผ็ดนิดหน่อย เผ็ดมากๆ แต่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ต้องเป็นจิตขณะนั้นเท่านั้นที่กำลังรู้แจ้งลักษณะนั้น
~ จิต ไม่รัก ไม่ชัง แต่จิตรู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ขณะที่ชอบ จิตรู้แจ้งสิ่งนั้น และเจตสิกชอบสิ่งนั้น ไม่ใช่จิตชอบ
~ กำลังโกรธ จิตรู้แจ้งอะไร? จิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเราใช้คำว่าอารัมมณะหรืออารมณ์ เพราะฉะนั้น จิต ไม่ใช่ความไม่ชอบ แต่จิตรู้แจ้งสิ่งนั้น และเจตสิกที่ไม่ชอบเกิดขึ้น ไม่ใช่จิต
~ บางครั้ง จะได้ยินคำว่า สภาพรู้ ๕๓ หมายความถึงเจตสิก ๕๒ และจิต ๑
~ เพราะเจตสิกเกิดขึ้นกับจิตไม่เท่ากัน ทำให้จิตต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท เพราะฉะนั้น จึงมีชื่อเรียกให้รู้ว่าหมายความถึงจิต มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย เช่น กุศลจิต อกุศลจิต โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต เป็นต้น
~ ไม่ว่าขณะไหน ใดๆ ทั้งสิ้น โลกไหนทั้งสิ้น เมื่อไหร่ทั้งสิ้น สภาพธรรมก็เป็นสภาพธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะภาวะของตนเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจชัดเจนมั่นคง แม้แต่เพียงคำเดียว ที่คุณอาช่าเริ่มต้น คือคำว่า “ภาวะ” ภาวะ คือ ความจริงของสิ่งที่มีจริงจริงแต่ละหนึ่งๆ สิ่งที่มีจริง ไม่มีภาวะได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะอะไร? เพราะถ้าไม่มีภาวะ จะมีได้อย่างไร เมื่อมี จึงเป็นภาวะของสิ่งที่มี
~ ใครเปลี่ยนภาวะให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม? (ไม่ได้) นี่คือ เริ่มเข้าใจคำว่า “ธรรม” สิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรา แต่มีภาวะของความเป็นสิ่งนั้น และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ซึ่งทำให้เราเริ่มมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ว่า ไม่ใช่เราและไม่มีเรา แต่มีธรรม
~ มั่นคงในธรรม และอนัตตา หรือยัง?
~ ถ้าไม่มีภาวะที่เป็นกรรม จะชื่อว่า กรรม ได้ไหม? ถ้าไม่มีภาวะที่เป็นผลของกรรม จะชื่อว่า ผลของกรรม ได้ไหม?
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในความดีของคุณสุคินและทุกท่าน
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
ยินดีในความดีของอ.คำปั่น
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.คำปั่นค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญของท่านอาจารย์คำปัน และสมาชิกทุกท่านด้วยนะคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ธรรมะละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ ต้องอาศัยความเพียรฟังบ่อยๆ เพื่อให้ เข้าใจถูกต้องของตังเอง สาธุ ค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ
ฟังอ่าน ธัมมะ ได้ปัญญา ความหลุดพ้นสังสารวัฏฏ์ ด้วยการฟังธัมมะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า