ปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวข้องกับการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ หรือ เป็นขณะๆ ๆ ที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เท่านั้น ครับ
ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยอธิบาย เพิ่มเติมด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะเป็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้สัจจะที่มีในชีวิตประจำวัน อันลุ่มลึกด้วยสภาพธรรม ที่ลุ่มลึกด้วยสภาวะ ลักษณะ ที่สัตว์โลกที่มากด้วยอวิชชา ไม่สามารถที่จะรู้ได้ นอกจากปัญญาเท่านั้น และ รวมทั้งปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นสภาพธรรมที่ลึกซึ้งเช่นกัน
ก่อนอื่นก็จะต้องเข้าใจ คำว่า ปฏิจจสมุปบาท ก่อนครับ ว่าคืออะไร
ปฏิจจสมุปบาท เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือ เป็นไปตามลำดับโดยอาศัยปัจจัย หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์ เป็นการแสดงเรื่องของปัจจัย (เหตุ) และปัจจยุบบัน (ผล) ซึ่งก็คือ การเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป อันอาศัยปัจจัยต่างๆ ทำให้เกิด สังสารวัฏฏ์ ซึ่งการทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์
สังสารวัฏฏ์ ก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็คือ การเกิดจึ้นของจิต เจตสิก ที่เกิดดับสืบต่อกันไปไม่สิ้นสุด เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ แต่สังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูป ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ แต่ละอย่าง จึงเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ครับ
ซึ่งประเด็นที่ผู้ถาม ถามว่า การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ เป็นขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เท่านั้น สรุปว่า เพียงชาตินี้ชาติเดียว ไม่ได้หมายถึงวิบากจิตที่เป็นภพหน้า ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ครับ กระผมขออธิบายเป็นลำดับ ในปฏิจจสมุปบาท ให้พอเข้าใจดังนี้ครับ
เพราะอาศัย อวิชชา ความไม่รู้เป็นปัจจัย จึงทำให้มีการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรม (เกิดสังขาร) เพราะหากไม่มีอวิชชา ความไม่รู้แล้ว ก็คือดับกิเลสได้หมดสิ้น คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ จิตของผู้ที่ดับอวิชชา ความไม่รู้ จึงไม่เป็นกุศลจิตและอกุศลจิตเลย แต่เป็นเพียง กิริยาจิต และ วิบากจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีอวิชชา จึงยังเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมได้ (เกิดสังขาร) และเมื่อมีสังขาร คือ การทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่เป็นเหตุ ก็ย่อมให้ผล เพราะได้ทำเหตุแล้ว สังขาร จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ คือ จิต แต่จิตในที่นี้ ไม่ใช่หมายถึง จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้กระทบสัมผัสเท่านั้น แต่มุ่งหมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ คือ ขณะที่เกิดนั่นเองครับ เพราะ มีการทำกุศลกรรม ในอดีตชาติเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ซึ่งถ้าเรามอง ก็คือ กุศลกรรมในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิด ปฏิสนธิจิต (วิญญาณ) และ วิญญาณ ก็รวมขณะที่เห็น (จิต) ได้ยินด้วย คือ เพราะกุศลกรรม อกุศลกรรมในอดีต (สังขาร) เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ที่เป็นวิบากจิต (วิญญาณ) ครับ
เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท โดยนัยที่ สังขาร คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ รวมหมายถึง ปฏิสนธิจิต ที่เป็นการข้ามภพ ข้ามชาติด้วย และก็เป็นวิบากจิต เห็น ได้ยิน ... รู้กระทบสัมผัส ที่เป็นไปในชาตินี้ด้วย ครับ
ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จึงครอบคลุมความเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็น วัฏฏะ การเกิดขึ้น ของจิต เจตสิก ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ แต่ไม่ได้หมายเพียง การเกิดขึ้นเป็นไปของจิต เจตสิกเพียงชาตินี้เท่านั้นที่เป็นการเห็น การได้ยิน แต่รวมปฏิสนธิจิต ขณะที่เราเกิดขึ้นมาด้วย ครับ เพราะ ถ้าไม่มีชาติก่อน แล้ว ชาตินี้ก็คงมีไม่ได้เลย ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นสังสารวัฏฏ์ โดยนัย ข้ามภพข้ามชาติและชาติปัจจุบัน ด้วยครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอกราบอนุโมทนาท่านผู้รู้ด้วยครับ ผม เข้าใจชัดเจนขึ้นมากเลยครับ
ขอบพระคุณมากๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ซึ่งชาติก่อนๆ อย่างนับไม่ถ้วนก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว เคยเกิด เคยแก่ เคยเจ็บ เคยตาย เคยสุข เคยทุกข์มาแล้วทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ นามธรรม และรูปธรรม เหตุที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด สังสารวัฏฏ์ยังเป็นไปอยู่ ก็เพราะยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้นสังสารวัฏฏ์ จะยังหมดสิ้นไปไม่ได้ เนื่องจากว่ายังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีกอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ เพราะยังเป็นผู้มีกิเลส ยังละกิเลสอะไรๆ ไม่ได้ เมื่อได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ก็จะทำให้เป็นผู้มีความมั่นคงในความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิกและรูป เลย มีอยู่เพียงเท่านี้เอง หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละคลายขัดเกลากิเลส จนกว่าจะสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นนั้น ก็ต้องเป็นหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา สังสารวัฏฏ์ จะหมดสิ้นได้ ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปฏิจจสมุปบาท สภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
เป็นเหตุ เป็นปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย
เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ไม่รู้จักเบื้องต้น เบื้องปลาย"
"สังสารจักรหรือสังสารวัฏฏ์ เพราะชีวิตมีความหมุนเวียนเป็นวงกลมแบบล้อ
ล้อแห่งชีวิตนั้นมีอวิชชากับภวตัณหาเป็นดุม ถือว่าเป็นแกนอันสำคัญ
มีอภิสังขาร วิญญาณ เป็นต้นเป็นซี่เป็นกำ มีชรามรณะเป็นกง
สอดด้วยเพลาอันทำด้วยอาสวสมุทัย ประกอบไว้ในตัวรถคือไตรภพ
หมุนไปตลอดกาลอันหาเบื้องต้นไม่ได้ "
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ปฏิจจสมุปบาท เป็นได้ทั้ง ๓ กาล คือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน สืบเนื่องกันไปเป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ และ สืบต่อกันไปนับชาติไม่ได้ ค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาครับ.
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณมากค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญรับฟังเพิ่มเติมจาก ซีดี ....
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ 1 เนื้อหาโดยย่อ มีดังนี้ - พุทธวิปัสสนาตอนตรัสรู้ - สัมมาปฏิปทา มิจฉาปฏิปทา - ปฏิปทาสูตร - แนวทางสติปัฏฐาน - อวิชชา - สังขาร - วิญญาณ - นามรูป - ฉฬายตนะ
ปฏิจจสมุปบาท แผ่นที่ ๒ เนื้อหาโดยย่อ มีดังนี้ - อธิบายองค์ธรรม วิญญาณ นามรูป - อายตนะ - ลักษณะตันหา - วิสัตติกา แผ่ซ่านไป - ผัสสะเกิดเพราะมีอายตนะ - อายตนะ ๑๒