พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 999
บทว่า ปุพฺพนิวาสํ - ชาติก่อน คือ สันดานที่อยู่ในชาตินั้นๆ
ทำภพในอดีตที่ใกล้ที่สุดให้เป็นเบื้องต้น. บทว่า อนุสฺสรติ - ย่อมระลึก
ตามไปๆ ด้วยสามารถลำดับขันธ์ หรือด้วยสามารถจุติปฏิสนธิ. จริง
อยู่ ชนทั้ง ๖ คือ เดียรถีย์ ๑. สาวกธรรมดา ๑. มหาสาวก ๑.
อัครสาวก ๑. พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑. พระพุทธเจ้า ๑ ย่อมระลึก
ถึงชาติก่อนนี้ได้.
ในชนเหล่านั้น เดียรถีย์ทั้งหลาย ย่อมระลึกได้ ๔๐ กัป.
ไม่ยิ่งไปกว่านั้น. เพราะเหตุไร เพราะเดียรถีย์มีปัญญาอ่อน. จริงอยู่
ปัญญาของเดียรถีย์เหล่านั้น อ่อนเพราะไม่มีการกำหนดนามรูป.
สาวกธรรมดา ย่อมระลึกได้ ๑๐๐ กัปบ้าง ๑,๐๐๐ กัปบ้าง
เพราะมีปัญญาแก่กล้า. มหาสาวก ๘๐ รูป ระลึกได้ แสนกัป.
อัครสาวก ทั้งสองระลึกได้ อสงไขยหนึ่ง กับแสนกัป. พระปัจเจก-
พุทธเจ้า ระลึกได้ สองอสงไขย กับแสนกัป. เพราะอภินิหารของ
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น มีประมาณเพียงนี้. แต่ พระพุทธเจ้าทั้ง
หลายระลึกได้ ไม่มีกำหนด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 1000
อนึ่ง เดียรถีย์ทั้งหลาย ระลึกได้ลำดับขันธ์เท่านั้น พ้นลำดับ
ไปแล้วไม่สามารถระลึกถึงจุติและปฏิสนธิได้. เดียรถีย์เหล่านั้นระลึกได้
ไม่พ้นลำดับขันธ์ เหมือนคนตาบอดไม่ปล่อยไม้เท้าเดินไปฉะนั้น.
สาวกธรรมดา ระลึกได้แม้ตามลำดับขันธ์ ย่อมก้าวไปถึงจุติ
ปฏิสนธิ. มหาสาวก ๘๐ รูป ก็อย่างนั้น. ส่วน อัครสาวกทั้งสอง
ไม่มีกิจต้องระลึกตามลำดับขันธ์ คือ เห็นจุติของอัตภาพหนึ่งแล้ว
แล้วย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย ย่อมก้าวเลยไปถึงจุติและปฏิสนธิอย่างนี้ คือ
ครั้นเห็นจุติของคนอื่นอีก ย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย. พระปัจเจกพุทธ-
เจ้า ก็เหมือนกัน. ส่วน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีกิจต้องระลึก
ตามลำดับขันธ์ ไม่มีกิจต้องระลึกก้าวไปถึงจุติปฏิสนธิ เพราะว่า พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายทรงปรารถนาฐานะใดๆ ข้างล่าง คือ ล่วงแล้วก็ดี
ข้างบน คือ อนาคตก็ดี ในโกฏิกัปป์ไม่น้อย ฐานะนั้นๆ ย่อมปรากฏ
ได้ทีเดียว. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงย่อโกฏิกัปป์แม้ไม่
น้อย แล้วปรารถนาฐานะใดๆ ทรงก้าวเข้าไปในฐานะนั้นๆ ด้วย
สามารถแห่งการก้าวไปของพระพุทธเจ้าผู้สีหะ. ญาณของพระพุทธเจ้า
เหล่านั้นไปอยู่อย่างนี้ ไม่ติดขัดในชาติในระหว่างๆ ย่อมถือเอาฐานะ
ที่ปรารถนาแล้วๆ .