เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ [ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท]
โดย khampan.a  10 ก.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 43331

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๙๕

๗. เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ [๑๑๓]

* ข้อความเบื้องต้น *

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย ทณฺเฑน อทณฺเฑสุ " เป็นต้น.

* พวกเดียรถีย์คิดหาอุบายฆ่าท่าน *

ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ประชุมกัน คิดว่า " ท่านผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายทราบหรือ? ด้วยเหตุไร ลาภสักการะ จึงเกิดขึ้นเป็นอันมากแก่พระสมณโคดม? เดียรถีย์พวกหนึ่งกล่าวว่า " พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ ส่วนพวกท่านทราบหรือ? " เดียรถีย์ที่รู้เรื่องก็พากันตอบว่า ขอรับ พวกข้าพเจ้าทราบ ลาภและสักการะเกิดขึ้น เพราะอาศัยพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อมหาโมคคัลลานะ เพราะพระเถระนั้น ไปเทวโลก ถามกรรมที่พวกเทวดาทำแล้ว ก็กลับมาบอกกับพวกมนุษย์ว่า 'ทวยเทพทำกรรมชื่อนี้ ย่อมได้สมบติเห็นปานนี้.' แม้ไปนรก ก็ถามกรรมของหมู่สัตว์ผู้เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกพวกมนุษย์ว่า 'พวกเนรยิกสัตว์ ทำกรรมชื่อนี้ ย่อมเสวยทุกข์เห็นปานนี้' พวกมนุษย์ได้ฟังถ้อยคำของพระเถระนั้นแล้ว ย่อมนำลาภสักการะเป็นอันมากไป (ถวาย) ถ้าพวกเราจักสามารถฆ่าพระเถระนั้นได้ไชร้ ลาภและสักการะนั้น ก็จักเกิดแก่พวกเรา "

* เดียรถีย์จ้างพวกโจรฆ่าพระเถระ *

เดียรถีย์เหล่านั้นต่างรับรองว่า " อุบายนี้ใช้ได้ " ทุกคนเป็นผู้มีฉันทะอันเดียวกัน ตกลงกันว่า "พวกเราจักทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งฆ่าพระเถระนั้นเสีย " ดังนี้แล้ว ชักชวนพวกอุปัฏฐากของตนได้ทรัพย์พันกหาปณะ ให้เรียกหมู่โจรผู้เที่ยวทำกรรมคือฆ่าบุรุษมาแล้ว สั่งว่า "พระเถระชื่อมหาโมคคัลลานะ อยู่ที่กาฬสิลา พวกเจ้าไปในที่นั้นแล้วจงฆ่าพระเถระนั้น" ดังนี้แล้ว ก็ได้ให้กหาปณะ (แก่พวกโจร) .

พวกโจร รับคำเพราะความโลภในทรัพย์ ตั้งใจว่า " พวกเราจักฆ่าพระเถระ " ดังนี้แล้ว ไปล้อมที่อยู่ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นไว้.

* พระเถระถูกพวกโจรทุบ *

พระเถระ ทราบความที่ตนถูกพวกโจรเหล่านั้นล้อมแล้ว จึงออกไปทางช่องลูกกุญแจหลีกไปเสีย. ในวันนั้น พวกโจรนั้น มิได้เห็นพระเถระ วันรุ่งขึ้น จึงไปล้อม (อีก) .

พระเถระทราบแล้ว ก็ทำลายมณฑลช่อฟ้าเหาะไปสู่อากาศ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเดือนแรกก็ดี ในเดือนท่ามกลางก็ดี พวกเดียรถีย์นั้น ก็มิได้อาจจับพระเถระได้ แต่เมื่อมาถึงเดือนสุดท้าย พระเถระทราบภาวะคือการชักมาแห่งกรรมอันตนทำไว้แล้ว จึงมิได้หลบเลี่ยง.

พวกโจรไปจับพระเถระได้แล้ว ทุบกระดูกทั้งหลายของท่านให้ (แตกยับเป็นชิ้นน้อย) มีประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก ทีนั้น พวกโจรเหวี่ยงท่านไปที่หลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ด้วยสำคัญว่า ' ตายแล้ว.' ก็หลีกไป.

* พระเถระประสานกระดูกแล้วไปเฝ้าพระศาสดา *

พระเถระคิดว่า "เราเฝ้าพระศาสดาเสียก่อนแล้วจักปรินิพพาน " ดังนี้แล้ว จึงประสานอัตภาพด้วยเครื่องประสานคือฌาน ทำให้มั่นคงแล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดาโดยอากาศ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า "ข้าพระองค์จักปรินิพพาน พระเจ้าข้า"

พระศาสดา. เธอจักปรินิพพานหรือ โมคคัลลานะ.

พระเถระ. จักปรินิพพาน พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. เธอจักปรินิพพาน ณ ที่ไหน?

พระเถระ. ข้าพระองค์จักไปสู่ประเทศชื่อกาฬสิลาแล้วปรินิพพานพระเจ้าข้า.

พระศาสดา. โมคคัลลานะ ถ้ากระนั้น เธอกล่าวธรรมแก่เราแล้วจึงค่อยไป เพราะบัดนี้ เราไม่พบเห็นสาวกผู้เช่นเธอ (อีก) .

* พระเถระแสดงฤทธิ์แล้วปรินิพพาน *

พระเถระกราบทูลว่า "ข้าพระองค์จักทำอย่างนั้น พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา เหาะขึ้นไปในอากาศ แสดงฤทธิ์มีประการต่างๆ อย่างพระสารีบุตรแสดงฤทธิ์ในวันปรินิพพาน แล้วกล่าวธรรมถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปสู่ดงใกล้กาฬสิลาประเทศ ปรินิพพานแล้ว.

ถ้อยคำ (เล่าลือ) แม้นี้ว่า "ข่าวว่า พวกโจรฆ่าพระเถระเสียแล้ว" ดังนี้ ได้กระฉ่อนไปทั่วชมพูทวีป.

* พวกโจรถูกจารบุรุษจับได้ *

พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงแต่งจารบุรุษ (บุรุษสอดแนม) ไปเพื่อต้องการสืบเสาะหาพวกโจร. เมื่อโจรแม้เหล่านั้น ซึ่งกำลังดื่มสุราอยู่ในโรงดื่มสุรา, โจรคนหนึ่ง ก็ถองหลังโจรคนหนึ่งให้ล้มลง. โจรที่ถูกถองนั้น ขู่ตะคอกโจรนั้นแล้วพูดว่า " เฮ้ย อ้ายหัวดื้อ ทำไมจึงถองหลังกูเล่า."

โจรผู้หนึ่ง. เฮ้ย อ้ายโจรชั่วร้าย ก็พระมหาโมคคัลลานะ มึง (ลงมือ) ตีก่อนหรือ?

โจรอีกผู้หนึ่ง. ก็มึงไม่รู้ว่าพระโมคัลลานะถูกตีดอกหรือ?

เมื่อพวกโจรเหล่านั้นพากันกล่าว (อวดอ้าง) อยู่ว่า "พระโมคคัลลานะ กูเองตีแล้วๆ ."

จารบุรุษเหล่านั้นได้ยินแล้ว จึงจับโจรเหล่านั้นไว้ทั้งหมดแล้วกราบทูลแด่พระราชา.

พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพวกโจรมาแล้ว ตรัสถามว่า "พวกเจ้าฆ่าพระเถระหรือ? "

พวกโจร. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พระราชา. ใครใช้พวกเจ้าเล่า?

พวกโจร. พวกสมณะเปลือย พระเจ้าข้า.

* พวกเดียรถีย์และพวกโจรถูกลงโทษ *

พระราชา ทรงมีรับสั่งให้จับสมณะเปลือยประมาณ ๕๐๐ แล้วให้ฝังไว้ในหลุมประมาณเพียงสะดือที่พระลานหลวง รวมกับโจรทั้ง ๕๐๐ คนให้กลบด้วยฟางแล้ว ก่อไฟ (เผา) . ครั้นทรงทราบว่าพวกเหล่านั้นถูกไฟไหม้แล้ว จึงรับสั่งให้ไถด้วยไถเหล็ก ทำพวกนั้นทั้งหมดให้เป็นท่อนและหาท่อนมิได้ รับสั่งให้ทำการเสียบหลาวไว้ในโจร ๔ คน.

* พระเถระถึงมรณะสมควรแก่กรรมของตน *

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "น่าสังเวชจริง พระมหาโมคคัลลานะ มรณภาพไม่สมควรแก่ตน."

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า " ด้วยกถาชื่อนี้ พระเจ้าข้า " ดังนี้แล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะมรณภาพไม่สมควรแก่อัตภาพนี้เท่านั้น, แต่เธอถึงมรณภาพสมควรแท้แก่กรรมที่เธอทำไว้ในกาลก่อน" อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า " ก็บุรพกรรมของท่านเป็นอย่างไร? พระเจ้าข้า " ได้ตรัส (อดีตนิทาน) อย่างพิสดาร (ดังต่อไปนี้) :-

* บุรพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ *

ดังได้สดับมา ในอดีตกาล กุลบุตรผู้หนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสีทำกิจต่างๆ มีตำข้าวและหุงต้มเป็นต้นเองทั้งนั้น ปรนนิบัติมารดาบิดา.

ต่อมา มารดาบิดาของเขา พูดกะเขาว่า "พ่อ เจ้าผู้เดียวเท่านั้นทำงานทั้งในเรือน ทั้งในป่า ย่อมลำบาก, มารดาบิดาจักนำหญิงสาวคนหนึ่งมาให้เจ้า," ถูกเขาห้ามว่า ' คุณแม่และคุณพ่อ ผมไม่ต้องการด้วยหญิงสาวเห็นปานนั้น, ผมจักบำรุงท่านทั้งสองด้วยมือของผมเอง ตราบเท่าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ " ก็อ้อนวอนเขาแล้วๆ เล่าๆ แล้วนำหญิงสาวมา (ให้เขา) .

* หญิงชั่วยุยงผัวฆ่ามารดาบิดา *

หญิงนั้นบำรุงแม่ผัวและพ่อผัวได้เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ภายหลังก็ไม่อยากเห็นท่านทั้งสองนั้นเลย จึงบอกสามีว่า " ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่งเดียวกับมารดาบิดาของเธอได้ " ดังนี้แล้ว ติเตียน (ต่างๆ นานา) เมื่อสามีนั้นไม่เชื่อถ้อยคำของตน, ในเวลาสามีไปภายนอก ถือเอาปอ ก้านปอและฟองข้าวยาคู ไปเรี่ยรายไว้ในที่นั้นๆ (ให้รกรุงรังเลอะเทอะ) สามีมาแล้ว ก็ถามว่า "นี้ อะไรกัน" ก็บอกว่า "นี่เป็นกรรมของคนแก่ผู้บอดเหล่านี้, แกทั้งสองเที่ยวทำเรือนทั่วทุกแห่งให้สกปรก. ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่งเดียวกันกับแกทั้งสองนั่นได้.

* เชื่อภรรยาต้องเสียพ่อแม่ *

เมื่อหญิงนั้น บ่นพร่ำอยู่อย่างนั้น. สัตว์ผู้มีบารมีบำเพ็ญไว้แล้วแม้เห็นปานนั้น ก็แตกกับมารดาบิดาได้. เขาพูดว่า "เอาเถอะ, ฉันจักรู้กรรมที่ควรทำแก่ท่านทั้งสอง" ดังนี้แล้ว เชิญมารดาบิดาให้บริโภคแล้วก็ชักชวนว่า " ข้าแต่พ่อและแม่ พวกญาติในที่ชื่อโน้น หวังการมาของท่านทั้งสองอยู่ ผมจัก (พา) ไปในที่นั้น " ดังนี้แล้ว ให้ท่านทั้งสองขึ้นสู่ยานน้อยแล้วพาไป ในเวลาถึงกลางดงลวงว่า " คุณพ่อขอรับ ขอพ่อจงถือเชือกไว้. โคทั้งสองจักไปด้วยสัญญาแห่งปฏัก, ในที่นี้มีพวกโจรซุ่มอยู่, ผมจะลงไป " ดังนี้แล้ว มอบเชือกไว้ในมือของบิดา ลงไปแล้วได้เปลี่ยนเสียงทำให้เป็นเสียงพวกโจรซุ่มอยู่.

* มารดาบิดาสิเนหาในบุตรยิ่งกว่าตน *

มารดาบิดาได้ยินเสียงนั้น ด้วยสำคัญว่า " พวกโจรซุ่มอยู่ " จึงกล่าวว่า " ลูกเอ๋ย แม่และพ่อแก่แล้ว, เจ้าจงรักษาเฉพาะตัวเจ้า (ให้พ้นภัย) เถิด." เขาทำเสียงดุจโจร ทุบตีมารดาบิดา แม้ผู้ร้องอยู่อย่างนั้นให้ตายแล้ว ทิ้งไว้ในดง แล้วกลับไป.

* ผลของกรรมชั่วตามสนอง *

พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ไหม้ในนรกหลายแสนปี, ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียดหมด ถึงมรณะ สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ, โมคคัลลานะ ได้มรณะอย่างนี้ ก็พอสมแก่กรรมของตนเองแท้. พวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ (แก่กรรมของเขา) เหมือนกัน, ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ เป็นแท้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า

"ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลาย ผู้ไม่มีอาชญา
ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ ๑๐
อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ
ถึงเวทนา
กล้า ๑ ความเสื่อมทรัพย์ ๑ ความสลายแห่งสรีระ ๑ อาพาธหนัก ๑
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ ความขัดข้อง
แต่พระราชา ๑ การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ ความย่อยยับแห่งเครือญาติ ๑ ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย ๑ อีกอย่างหนึ่ง
ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของ
เขา, ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก."

* แก้อรรถ *

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทณฺเฑสุ ความว่า ในพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้เว้น จากอาชญามีอาชญาทางกายเป็นต้น.

บทว่า อปฺปทุฏฺเสุ ความว่า ผู้ไม่มีความผิดในชนเหล่าอื่น หรือ ในตน.

บาทพระคาถาว่า ทสนฺนนญฺตร าน ความว่า ในเหตุแห่งทุกข์ ๑๐ อย่าง ซึ่งเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง.

บทว่า เวทน ได้แก่ เวทนากล้า อันต่างด้วยโรคมีโรคในศีรษะเป็นต้น.

บทว่า ชานึ ได้แก่ ความเสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก.

บทว่า เภทน ได้แก่ ความสลายแห่งสรีระมีการตัดมือเป็นต้น.

บทว่า ครุก ได้แก่ (หรือ) อาพาธหนักต่างโดยโรคมีโรคอัมพาต มีจักษุข้างเดียว เปลี้ย ง่อย และโรคเรื้อนเป็นต้น.

บทว่า จิตฺตกฺเขป ได้แก่ ความเป็นบ้า.

บทว่า อุปสคฺค ได้แก่ (หรือ) ความขัดข้องแต่พระราชาเป็นต้นว่า ถอดยศลดตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้น.

บทว่า อพฺภกฺขาน ความว่า การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรงเห็นปานนี้ว่า ' กรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้นนี้ก็ดี, กรรมคือการประพฤติผิดในพระราชานี้ก็ดี เจ้าทำแล้ว.' ซึ่งตนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยคิดเลย.

บาทพระคาถาว่า ปริกฺขย ว าตีน ได้แก่ ความย่อยยับแห่งเครือญาติ ผู้สามารถเป็นที่พำนักของตน.

บทว่า ปภงฺคุณ คือ ความเสียหาย ได้แก่ ความผุพังไป. ก็ข้าวเปลือกในเรือนของเขา ย่อมถึงความผุ. ทองคำถึงความเป็นถ่านเพลิง. แก้วมุกดาถึงความเป็นเมล็ดฝ้าย. กหาปณะถึงความเป็นชิ้นกระเบื้องเป็นต้น. สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า ถึงความเป็นสัตว์บอด เป็นต้น.

สองบทว่า อคฺคิ ฑหตี ความว่า ในปีหนึ่ง เมื่อไฟผลาญอย่างอื่นแม้ไม่มี ไฟคืออสนิบาต ย่อมตกลงเผาผลาญ ๒-๓ ครั้ง หรือไฟป่าตั้งขึ้นตามธรรมดาของมัน ย่อมไหม้เทียว.

บทว่า นิรย เป็นต้น ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก " ก็เพื่อแสดงฐานะ อันการกบุคคลแม้ถึงฐานะ ๑๐ อย่างเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้แล้ว ก็พึงถึงในสัมปรายภพโดยอย่างเดียวกัน.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ จบ.



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 13 ก.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Wisaka  วันที่ 13 ก.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ