บันเทิงในธรรม...ที่สุราษฎร์ธานี
เมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจาก ร.ต.โสภณ และคุณจริยา จ่ายพัฒน์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๒๗๐๘ และ ๒๗๐๙ ให้ไปสนทนาธรรมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีคณะวิทยากร ทีมกล้องและสหายธรรมจากกรุงเทพฯ ติดตามไป ๕๒ ท่าน เดินทางทั้งทางรถไฟ รถส่วนตัว และเครื่องบินหลายเที่ยว ท่านอาจารย์และสหายธรรมบางส่วนถึงสนามบินสุราษฎร์ตอน ๑๑ โมง พร้อมกับคณะที่ถึงก่อนเดินทางด้วยรถตู้ ๔ คัน ไปโรงแรมไดมอนด์พลาซ่าในเมืองสุราษฎร์ธานีที่จะพักและสนทนาธรรม มีสหายธรรมชาวสุราษฎร์มาต้อนรับหลายคน ซึ่งมีทั้งเจ้าภาพ ร.ต.โสภณและคุณจริยา คุณกิตติพันธ์และคุณวันนิดา ผู้รับส่งท่านอาจารย์และพี่จี๊ดด้วยรถส่วนตัวของท่าน
หลังอาหารกลางวันเป็นอาหารใต้ที่แสนอร่อยด้วยแกงเหลืองปลากระพง ผัดกุ้งสะตอ น้ำพริกบูดู (ยั่วน้ำลายคนที่ไม่ได้เดินทางไปด้วย) ก็เริ่มสนทนาธรรมตอนบ่ายสอง มีผู้สนใจที่เป็นคนสุราษฎร์มาร่วมฟังหลายท่าน ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณจริยา เจ้าภาพที่ขยันประชาสัมพันธ์ เธอเป็นอดีตครู สมาชิกสภาเทศบาล และมัคทายกมาก่อน จึงเก่งในการติดต่อสื่อสาร เธอเล่าว่า ตอนแรกไม่กล้าจัด กลัวอุปสรรคต่างๆ แต่ได้รับการสนับสนุนจากคุณเดือนฉาย ค่ำอำนวย ที่ มศพ.และคุณโก๋ พนิดา มิตรมวลชน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. หาดใหญ่ ทราบว่าเธอได้ขอรายชื่อสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่อยู่สุราษฎร์ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ และแจ้งข่าวให้ทราบ เพราะบางท่านได้ยินแต่เสียงท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านอาจารย์เดินทางไปสุราษฎร์ ซึ่งผู้ฟังชาวสุราษฎร์ เมืองคนดีก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย เพราะมาฟังกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายเต็มห้องมรกต ของโรงแรมไดมอนด์พลาซ่า
นั่งฟังธรรมอยู่ ๓ วัน ๔ ช่วง ตั้งใจฟังด้วยดี แม้จะได้ยินได้ฟังซ้ำๆ ก็ยังไม่แจ่มเข้าไปในใจ ท่านอาจารย์อธิบายให้ผู้ไม่เคยฟังมาก่อนได้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป พร้อมยกตัวอย่าง แล้วถามให้คนใหม่ตอบ ตอนหนึ่งท่านถามว่า เห็นขยันไหม ให้คนใหม่ตอบ เราคิดว่าเห็นเกิดดับไม่หยุดเลย เห็นต้องขยัน จึงตอบ แต่ผิด (โชคดีที่ไม่ตอบใส่ไมโครโฟน ไม่อย่างนั้นจะเสียหน้าคนฟังเก่าหมด แต่ความจริงในการฟังธรรม ทุกคนเป็นคนใหม่เสมอ ตามที่คุณนีน่าบอก เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ฟังแล้วก็ลืมเพราะแย้งกับความจำเดิมที่จำมาเนิ่นนาน เหมือนรอยขีดในน้ำ ขีดแล้วก็หายไปทันที ถ้าไม่มีเราแล้วก็ไม่มีเสียหน้าหรือได้หน้า ทุกคนเป็นผู้ฟังใหม่เสมอ) ท่านอาจารย์ตอบว่า เห็นไม่ขยัน คิดต่อไปเองอีกว่า (หวังว่าคงถูก) เห็นเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่ทำไว้แล้ว ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย เห็นจึงไม่ขยัน เห็นต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่ต้องประกอบด้วยความเพียร ท่านอาจารย์ถามต่ออีกหลายคำถาม แต่คราวนี้ตอบในใจซึ่งเป็นการพรางตัวที่ดีมาก ไม่มีใครรู้เลยว่า คิดอะไรในใจ ถูกหรือผิด เลยจำคำถามคำตอบไม่ได้ จนกระทั่งท่านอาจารย์พูดถึงการฟังพระธรรมต้องอดทนเหมือนจับด้ามมีดจนกว่าจะสึก ท่านถามว่าด้ามมีดอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่า อยู่ที่เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ เลยรู้ตัวเองว่า ยังไม่รู้จักแม้ด้ามมีดว่าอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดถึงการจับ ไม่แม้แต่จะรู้จักด้ามมีด แล้วจะจับได้อย่างไร เรื่องด้ามมีดสึกจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ฟังมา ๓๐ กว่าปีนั้น เพียงแต่รู้ว่า ด้ามมีดอยู่ตรงนี้ แต่ยังไม่รู้จักด้ามมีดจริงๆ เหมือนเห็นป้ายบอกทาง คิดว่ารู้ทางแล้ว แต่ก็ยังไม่เริ่มต้นเดินทาง แล้วจะถึงได้อย่างไร ที่ยังไม่เริ่มเดินทั้งๆ ที่อยากเดินเหลือเกิน เพราะขายังอ่อน ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไกลทวนกระแสความเคยชินว่า ทุกอย่างเป็นเรา เที่ยงและเป็นสุขได้ และจิตใจก็เป็นโรคด้วยความอยากจึงปิดบังไม่ให้เห็นทางเดินที่คิดว่ารู้ทางแล้ว
ก็รู้ว่าเป็นความรู้ขั้นฟัง ยังไม่ใช่ขั้นจับด้ามมีด ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วดับทันที ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะเหมือนกันหมดคือเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จึงหาความเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ไม่มีไม่ได้เลย ฟังแล้วก็ลืม ลืมแล้วลืมอีก จนกว่าจะจำได้อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงจะเริ่มจับด้ามมีดด้วยการระลึกรู้ลักษณะของเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้
นี่คืออานิสงส์ของการฟังธรรม คือ ทำให้ได้ยินสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแล้วมากขึ้น ทำให้หายสงสัยในสิ่งที่ยังสงสัย ทำความเห็นให้ตรงตามความเป็นจริง และจิตของผู้ฟังเข้าใจก็ผ่องใส แม้จะรู้ว่า การฟังธรรมเป็นมงคล การสนทนาธรรมเป็นมงคล แต่ก็เลือกจะฟังหรือสนทนาตามความต้องการไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร มีความคิดเท่านั้นที่คิดไปต่างๆ นานา ตามการสะสม แม้จะไปนั่งฟังแต่ถ้าขณะนั้นคิดเรื่องอื่น ไม่เข้าใจสิ่งที่ฟังก็ได้ เพราะความคิดก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ขณะที่ฟังเข้าใจจึงเป็นขณะที่ประเสริฐสุด
สหายธรรมชาวสุราษฎร์น่ารักมาก ช่างพูดช่างคุย อัธยาศัยดีงาม ต้อนรับแขกที่ไปเยือนด้วยเมตตาจิต คุณจริยาพูดบ่อยๆ จนจำได้ว่า รักคนมูลนิธิฯทุกคนเหมือนญาติ เธอดูแลเอาใจใส่ทุกคน แนะนำให้รู้จักสมาชิกชาวสุราษฎร์ที่มาใหม่ ได้สัมภาษณ์บางท่านว่า มาฟังอาจารย์ได้อย่างไร แต่ละชีวิตก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย แต่ที่เหมือนกันคือมีศรัทธาที่จะได้ฟังความจริงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจนกว่าจะได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ศึกษาเข้าใจแล้วมาถ่ายทอดให้ฟังด้วยความเมตตา ความเพียร และความอดทนอย่างยิ่ง ท่านไม่เคยปฏิเสธผู้ที่เชิญไปบรรยายเลย ท่านบอกว่าเขาเชิญแปลว่าเขาอยากฟัง และเวลาเหลือน้อย ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่มีคนมากราบเท้าขอบพระคุณท่านหลายคน รวมทั้งเราด้วยที่ปลื้มปีติทุกครั้งที่มีคนมากราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่หาฟังได้ยากยิ่ง เพราะการอุบัติขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยากยิ่ง การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาก็ยาก การแสดงพระธรรมก็ยาก และการมีอายุยืนยาวจนได้ฟังพระธรรมก็ยาก
มองไปจากหน้าต่างโรงแรมชั้นที่ ๑๑ เห็นแต่สีเขียวของต้นไม้กับทิวเขา ดูอุดมสมบูรณ์ สนทนาธรรมที่นี่ ๓ วัน ติดใจทุกอย่าง ทั้งธรรมปฏิสันถารและอามิสปฏิสันถาร คืออาหารที่อร่อยถูกปากทุกมื้อ บรรยากาศ ผู้คนที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรี คิดว่าจะต้องไปทุกครั้งที่ทางสุราษฎร์เชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรม ได้ยินว่า คราวหน้าจะเชิญไปที่เขื่อนรัชชประภา ในวันที่ ๗-๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ลงวันที่ไว้ในปฏิทินแล้ว คงได้พบกันอีกค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ