[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๖๗๒
[๔๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั่นเป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนิพพาน ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จพระอริยเจ้าทั้งหลาย เห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้นเป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนื่องๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อันเป็นของมิใช่ตน ว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้งเทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง
ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป) ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูป มีความสูญสิ้นไป เป็นธรรมดา
นิพพาน มีความไม่สูญสิ้นไป เป็นธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลาย รู้นิพพานนั้น โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้ของจริง
บุคคลมีรักร้อย ก็ทุกข์ร้อย ยิ่งมีสิ่งเป็นที่รักมากก็ทุกข์มาก ถ้ามีปัญญาไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ทุกข์ค่ะ
สาธุ
สุปปวาสาสูตรที่ ๘
ทุกข์อันไม่น่ายินดี ย่อมครอบงำผู้ประมาท โดยความเป็นของน่ายินดี ทุกข์อันไม่น่ารักย่อมครอบงำคนผู้ประมาท โดยความเป็นของน่ารัก ทุกข์ย่อมครอบงำผู้ประมาท โดยความเป็นสุข
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อีกอย่างหนึ่ง ที่ตรัสว่า สติปัฏฐานมี ๔ ก็เพื่อละเสียซึ่งวิปัลลาสความสำคัญผิดว่างาม สุข เที่ยง และเป็นตัวตน.
แท้จริงกายเป็นอสุภะ ไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังสำคัญว่างามในกายนั้น ด้วยทรงแสดงความไม่งามในกายนั้นแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ ๑ เพื่อละวิปัลลาสนั้นเสีย. และในเวทนาเป็นต้น ที่สัตว์ยึดถือว่าสุข เที่ยง เป็นตัวตน เวทนาก็เป็นทุกข์ จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
([เล่มที่ 2] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๗๙)
ได้ทราบในทุกขธรรมสูตร เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ ก.ค. ๕๑ ที่ผ่านมาว่า ปิยรูปสาตรูป หมายถึง สภาพธรรมที่น่ารักน่าใคร่ น่าพอใจ เป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม อันเป็นที่ตั้งของตัณหาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
จิตมีราคะ ก็รู้ชัด (ด้วยปัญญา) ว่าจิตมีราคะ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสไว้ว่า ให้ใครมีตัวตนไปละราคะที่กำลังเกิดแต่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สาวกเกิดปัญญา ความเห็นถูกจริงๆ ในราคะ หรือตัณหาที่กำลังพึงพอใจอย่างยิ่งในปิยรูปสาตรูปอันเป็นที่น่ารัก น่าใคร่ ที่กำลังปรากฏว่าความจริงแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้นจริงๆ
...ขออนุโมทนาครับ...
เพิ่งจะได้เข้าใจจริงๆ ว่า ปิยรูป สาตรูป ไม่ได้หมายเฉพาะรูปเท่านั้น แต่หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นที่รัก ที่พอใจ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ
ถ้าไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเช่นนี้จากท่านอาจารย์ หากอ่านเฉพาะคำศัพท์คงเข้าใจผิดไปไกลเพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจความหมายเช่นกัน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๘๕-๒๘๗
รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
รูปวิตก เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิตกนี้ สัททวิตก ฯลฯ คันธวิตก ฯลฯ รสวิตก ฯลฯ โผฎฐัพพวิตก ฯลฯ ธัมมวิตก เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิตกนี้
รูปวิจาร เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิจารนี้ สัททวิจาร ฯลฯ คันธวิจาร ฯลฯ รสวิจาร ฯลฯ โผฏฐัพพวิจาร ฯลฯ ธัมมวิจาร เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้ เมื่อเกิด ก็เกิดที่ธัมมวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่ธัมมวิจารนี้
สภาวธรรมนี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ.
ถ้าไม่มีคำจริงที่พระสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สัตว์โลกผู้มืดบอดก็ไม่มีวันทราบเลยว่า ตัณหาพอใจในทุกอย่าง ทั้งสภาพที่ไม่รู้อะไร และสภาพรู้
นึกถึงคำท่านอาจารย์สุจินต์ว่า โลภะติดทุกอย่างยกเว้นโลกุตรธรรม เตือนใจให้ไม่ประมาทว่า ยากเพียงใดที่จะละตัณหาได้ ดังนั้น การศึกษาพระธรรมที่ตรงตามที่ทรงแสดงจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ทำให้เข้าใจหนทางละกิเลสที่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นว่า สิ่งที่ควรละจนดับไม่เหลือประการแรก คือดับความเห็นผิดว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นสัตว์บุคคล จึงจะค่อยๆ ละตัณหาได้ตามกำลังความเข้าใจ
เริ่มต้นด้วยการฟังให้เข้าใจธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เดี๋ยวนี้
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณวิทยากร เจ้าหน้าที่ มูลนิธิ ฯ และสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ที่ร่วมเผยแพร่พระธรรมด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ