* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ" ซึ่งแสดงถึงความยาวนานอย่างไม่มีที่สุดของสังสารวัฏฏ์ และการสะสมอวิชชาอย่างมากมายสุดประมาณมาในอดีต ดังนั้นอวิชชาจึงมีมาแสนนาน ก่อนการเกิดมาเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้
* อวิชชาในอดีตที่มีมาแสนนานนี้ เป็นปัจจัยให้มีเจตนากรรม ที่เป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง ซึ่งสะสมสืบต่อในจิต และเป็นปัจจัยให้เกิดมาเป็นแต่ละบุคคล ในภพชาติหนึ่งๆ
* นี่คือความเป็นธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไป หรือปฏิจจสมุปปาทในส่วนอดีต คือ
- อวิชชา (ความไม่รู้ตามความเป็นจริงที่สะสมมาในอดีต) เป็นปัจจัยแก่สังขาร (คือเจตนาที่กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม)
- สังขาร เป็นปัจจัยแก่วิญญาณ คือกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิต และรูปที่เกิดจากกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมปฏิสนธิจิตในขณะนั้น เป็นบุคคลหนึ่ง ในภพชาติหนึ่งๆ
* และหลังเกิดแล้วก็มีความเป็นไปตามปัจจัยของธรรมต่อๆ ไป
โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... คติธรรม
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ