มีชีวิตเพื่อปัญญาปรากฏ ม.ค. 2567 - แสงธรรมสองฝั่งโขง
โดย kanchana.c  16 ม.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 47276

แสงธรรมสองฝั่งโขง

ไป ไป ไปแล้วไม่ย้อนกลับ

ได้มีโอกาสไปร่วมฟังธรรม “แสงธรรมสองฝั่งโขง” ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 12 -14 ม.ค. 2567 ซึ่งจัดโดยชาวอิสาน ไทย - ลาว เพื่อเจริญกุศลในวันเกิดท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ครบ 97 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 13 ม.ค. 2567 ท่านอาจารย์เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เมตตาและปัญญา แม้เป็นวัยที่ควรพักผ่อน แต่ท่านกลับเผยแพร่ธรรมมากกว่าเดิม เข้มข้นกว่าเดิม ท่านบอกว่า ที่ใดมีคนสนใจฟัง ท่านพร้อมจะสนทนาธรรมด้วยเสมอ เพราะความเข้าใจธรรมของแต่ละคนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับท่าน เราเป็นลูกศิษย์อายุน้อยกว่า 2 รอบ แต่กลับอ่อนเปลี้ยเพลียแรง นั่งฟังธรรมอย่างเดียวยังพิจารณาไตร่ตรองธรรมที่ได้ฟังในฝันหลายครั้ง แม้จะฝืนแล้วก็ยังพ่ายแพ้ต่อความง่วง รู้สึกละอายใจ ไม่รู้ความเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่มีตัวเราที่จะไปทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้กำลังฟังอย่างนั้นก็ลืม ยังเป็นเราที่ง่วง เป็นเราที่ไม่มีวิริยะอุตสาหะฟังให้เข้าใจขึ้น ถ้ายังไม่เห็นความลึกซึ้งของสภาพธรรมที่มีจริง ก็ยังไม่ใช่หนทางซึ่งเป็นอริยสัจธรรมที่ 4 ที่จะไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่เหลือ เพราะรู้ถึงความลึกซึ้งของละคำ เช่น “ธรรม” “อนัตตา” ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ “ทุก” นั้น “แต่ละหนึ่งที่รวมเป็นทุกอย่าง” นั้นคืออะไร ก็จะละคลายความหวังที่จะรู้แจ้งโดยเร็ว และรู้ว่า หนทางนี้อีกยาวไกล เพราะกำลังปรากฏเฉพาะหน้า มีคนชี้ให้เห็น ก็ยังไม่เห็น ยังไม่รู้ จึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง เกินความหวังความต้องการที่จะรู้แจ้งได้ในเร็ววัน เร็วปี เร็วชาติ เร็วกัป คือ ไม่ต้องหวังเลย

ระหว่างการสนทนาธรรมก็ได้รู้จักสหายธรรมเพิ่มขึ้น แต่ละคนล้วนแต่มีกุศลจิต ทักทายปราศรัยกันด้วยเมตตา เหมือนญาติมิตรที่ไม่ได้เห็นกันนานแล้วมาพบกัน ทั้งกัมพูชา เวียดนาม ลาว ทั้งไทยจากเหนือ ใต้ ออก ตก จึงชุ่มชื่นใจที่ได้สนทนาปราศรัยให้รู้จักกันยิ่งขึ้น

ระหว่างรับประทานอาหารเช้าตั้งแต่ 06.00 น. ในวันที่ 14 ม.ค. 2567 เพื่อรีบเดินทางไปนครหลวงเวียงจันทร์ คุณกิมรส สหายธรรมกัมพูชามาร่วมโต๊ะด้วย ได้รู้จักท่านมาหลายสิบปี แต่ไม่เคยสนทนากันยาวๆ ได้แต่ยกมือไหว้ ยิ้มทักทายเท่านั้น ทราบประวัติของท่านว่า ระหว่างที่กัมพูชาอยู่ในยุคมืด มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้มีความรู้และฐานะดี โดยเขมรแดง ท่านอยู่พนมเปญ ถูกเกณฑ์ให้เข้าไปทำงานในป่า ท่านฝันว่า ได้ยินเสียงสวดมนต์จากฝั่งไทย รู้สึกดีใจมาก เพราะขณะนั้นไม่ได้ยินแม้เสียงสวดมนต์ในกัมพูชาเลย ไม่ต้องพูดถึงพระธรรมคำสอน คนกัมพูชาถูกฆ่าตายถึง 99.9”% แต่ท่านก็รอดมาได้ ท่านคงทำบุญไว้เพื่อจะได้ศึกษาพระธรรม ต่อมามีคนพาอาจารย์บุสาวงศ์ ชาวกัมพูชามาสนทนาธรรมท่านอาจารย์ที่วัดบวรนิเวศ ท่านอาจารย์ได้ส่งเทปคาสเซทแนวทางเจริญวิปัสสนาและหนังสือของมูลนิธิไปให้อาจารย์บุสาวงศ์ที่กัมพูชา คุณกิมรสที่ทำงานบ้านให้อาจารย์บุสาวงศ์ก็ได้ฟังด้วย และสนใจศึกษา อาจารย์บุสาวงศ์จึงพาฟังท่านอาจารย์ที่เมืองไทย จนบัดนี้หลายสิบปีที่คุณกิมรสศึกษาอย่างต่อเนื่อง และมาเมืองไทยบ่อยๆ โดยพักกับอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม รองประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้ถามท่านว่า ทำไมจึงยังศึกษากับท่านอาจารย์อยู่ ทั้งๆ ที่คนกัมพูชาส่วนใหญ่ก็ไม่มาแล้ว ท่านบอกว่า ที่นี่จริงที่สุด เป็นสัจธรรมที่สุด

(ภาพคุณกิมรส มอบมาลัยดอกไม้กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗)

ขณะที่รีบรับประทานอาหารเช้าให้ทันเวลานัดหมาย คุณกิมรสพูดขึ้นมาว่า “ไป ไป ไป” เพราะฟังธรรมมาบ้างแล้ว จึงพอเข้าใจว่า ท่านพิจารณาธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว จึงพูดประโยคนี้ออกมา ท่านอาจจะหมายถึงจากกรุงเทพ ไปอุดร จากอุดรไปเวียงจันทน์ หรือท่านอาจจะกำลังพิจารณารสที่กำลังปรากฏทางลิ้น เกิดชอบ ไม่ชอบรสนั้น แล้วก็มีอารมณ์อื่นมากระทบทวารอื่นให้รู้ เช่น ตาเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หูได้ยินเสียง กลิ่นที่กระทบจมูก เย็น ร้อน อ่อน แข็งที่กระทบกายทำให้เกิดชอบ ไม่ชอบ หรือจริงๆ ท่านจะหมายความลึกซึ้งกว่านี้ก็ได้ แต่ไม่มีเวลาสนทนาต่อ ได้แต่พูดต่อว่า “จริงค่ะ ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่หยุดเลย แล้วก็ไม่หวนกลับมาด้วย” ซึ่งท่านอาจจะหมายถึงจิตทุกขณะไป ไป ไป คือ เกิดดับสืบต่อ ไม่หยุดเลยก็ได้

พิจารณาธรรมตามแนวที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ว่า ความเป็นไปของชีวิต คือ ความเป็นไปของจิตแต่ละขณะ คือ จิตเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น คือ เป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา แล้วก็ไป ไป ไป คือ เกิดทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับหมดสิ้นไป จิตดวงเดิมไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ และไม่รู้จักกันด้วย เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

เป็นความประทับใจที่ได้ยินประโยคสั้นๆ นี้ ทำให้ระลึกถึงธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังนานมาแล้ว ความจริงแล้วในงานนี้มีความประทับใจในกุศลจิตของสหายธรรมที่ร่วมกันจัดงานที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม ทั้งที่จังหวัดอุดรธานี โดยทีมงานจากภาคอิสานทั้งไทยและลาว มีคุณแมว สาคร เสลาลักษณ์ คุณศรีสมพร จันทบุตรดี ไทยลาวจากฝรั่งเศส น้องเล็ก พนมวรรณ คาดพันโน น้องแป๋ว วสุธิดา ไชยสำแดง น้องแขก จรรยา ดวงแก้ว น้องสดใส มิ่งบุญ น้องสมพงษ์ น้องฉัตรวิภา เหลืองภิญโญ ภรรยา และอีกหลายท่านที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยด้วย แต่ก็ยินดีด้วยในกุศลที่ได้ทำค่ะ

ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวว่า จะไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณทองเส็ง ที่นครหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งจะสามารถรองรับผู้สนใจได้ 200 คน คิดเอาเองว่า คงเป็นซุ้มอาหารขนาดใหญ่ คงปิดกิจการในวันนั้นและเปิดการสนทนาธรรมอย่างเดียว แต่ก็ผิดคาด เพราะเป็นตึกใหญ่โตรโหฐานมาก ภายในเนื้อที่ 2 ไร่ ปลูกอาคารเกือบเต็มพื้นที่ ยามที่เฝ้าประตูบอกว่า คุณทองเส็งทำอาชีพขายตีนรถแล้วยางรถ ภาษาลาวน่ารักเสมอ ฟังแล้วเห็นภาพ ตีนรถก็คือล้อรถ จึงมีฐานะดีมาก (ดูจากบ้าน) ระหว่างรอรถตู้ลาวมารับจากอุดรข้ามไปเวียงจันทร์ ถามน้องแป๋วว่า บ้านที่จะสนทนาธรรมรองรับคนได้เป็นร้อยเลยหรือ น้องแป๋วบอกว่า มีขนาดพอๆ กับโรงแรมนภาลัยที่เราพักนี่แหละ ก็ยังไม่แน่ใจ จนเห็นด้วยตาตัวเองว่า เป็นตึกแบบยุโรปขนาดใหญ่มาก มีหลายระดับ ภายในเป็นหินอ่อนและไม้สัก สลักเป็นช้างหลายเชือก หรือต้องนับเป็นโขลง เพราะมากมาย ประดับตามประตู หน้าต่าง วิจิตรตระการตามาก อาหารที่นำมาบริการก็มากมายหลายอย่าง เป็นอาหารลาวดั้งเดิม มีลาบปลา หมกปลา ปลาทอดกรอบ แจ่วมะกอกกับผักต้ม ซึ่งอร่อยมาก ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแบบลาว ขนมจีนน้ำยา ไอศกรีม น้ำสำรอง น้ำดื่มอีกหลากหลายชนิด ห้องสนทนาธรรมก็เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศและไฟฟ้าหลายสิบดวง ยินดีในผลของกุศลที่ครอบครัวคุณทองเส็งได้รับ ทำให้เกิดมาพร้อมทรัพย์สมบัติมหาศาล และที่สำคัญกว่าคือยินดีในกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่กำลังทำในชาตินี้ แสดงว่า สะสมปัญญามาจึงสนใจจะรู้ความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ จึงจัดการสนทนาธรรมเพื่อเผยแพร่ให้พี่น้องชาวลาวได้เข้าใจด้วย กราบอนุโมทนาในกุศลค่ะ

พี่น้องไทยลาวได้ร่วมกันจัดสนทนาธรรม “แสงธรรมสองฝั่งโขง” ในวันเกิดท่านอาจารย์ได้ยิ่งใหญ่และสวยงาม สมกับความเมตตาของท่านอาจารย์ที่พร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ว่า ฟังธรรมเพื่อรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากยิ่งขึ้นว่า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร ไม่ใช่ใครว่าอย่างไร แต่ละคำของพระองค์ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ แม้แต่คำว่า “ไม่รู้” ความจริงที่ยังไม่รู้คืออะไร ทรงตรัสรู้ความจริงที่ทุกคนกำลังไม่รู้เดี๋ยวนี้ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดแล้วดับทันที ไม่กลับมาอีกเลย จึงหาความเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลไม่ได้เลย แต่พวกเรายัง “บรมโง่” ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีแล้ว หมดไปแล้วว่ายังมีอยู่ เพราะโลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ความจริงโลกมืด สว่างเฉพาะขณะที่เห็นเท่านั้น แต่โลกก็เหมือนสว่างตลอดเวลา เพราะเห็นเกิดดับรวดเร็วจึงยังปรากฏรวมกับสภาพธรรมอื่นๆ ฟังธรรมเพื่อรู้ถึงความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อไม่ประมาทว่ารู้แล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสอนให้ทำ แต่สอนให้เข้าใจความจริงในขั้นต่างๆ ตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นปฏิปัตติ และขั้นปฏิเวธ เพียงฟังจะไม่รู้แล้ว ต้องฟังจนรู้ทั่วในคำสอนของพระองค์ ซึ่งแต่ละคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง แล้วจึงจะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ จนรู้ทั่วว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ละคลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทั้งหมด จึงจะรู้แจ้ง ประจักษ์แล้วจริงๆ

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์สำหรับความเมตตาและปัญญาของท่านที่ชี้นำให้ผู้สนใจเข้าใจหนทางที่ถูกต้อง ตั้งแต่ได้พบและได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์มานานเกือบ 40 ปี กุศลทุกประการเจริญขึ้น แม้ปัญญายังเจริญไม่มาก แต่ก็ยังรู้ว่า สิ่งใดควรเจริญ สิ่งใดควรละค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 17 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Kalaya  วันที่ 17 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย swanjariya  วันที่ 18 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 4    โดย siraya  วันที่ 18 ม.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาพี่แดง พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง ค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Wisaka  วันที่ 18 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ