ขอรบกวนถามท่านผู้รู้ครับ
ผมมีความเห็นอย่างหนึ่งที่ได้มาจากการคิด และเชื่อมาอย่างหนึ่งที่อาจจะผิด เพราะบางเรื่องบางอย่างเราอาจจะเข้าใจถูกแต่ไม่ทั้งหมด ถ้า ต้องการที่จะเข้าใจก็ควรเล่าให้ท่านผู้รู้ฟังเพื่อขอคำชี้แนะจากท่าน ดังจะเล่าให้ฟังดังนี้ ครับ
มีความเห็นว่าหรือรู้สึกว่าชีวิตนี้ที่เราได้เกิดมาล้วนแต่เป็นหนี้ทั้งนั้น ทุกวันนี้รู้สึกแต่ เป็นหนี้อยู่ตลอดเลย ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหนก็ไม่มีวันใช้หนี้ได้หมด และอาจจะหมดได้ก็ต้องไปนิพพานเท่านั้น เช่น ๑. เป็นหนี้ตัวเอง ๒. เป็นหนี้สิ่งแวดล้อม ๓. เป็นหนี้พ่อ แม่ ๔. เป็นหนึ้รัฐและนายจ้าง ฯลฯ ทั้งหลายที่ได้กล่าวมานี้ ก็จะขอชี้แจงบ้าง คือ เป็น หนี้ตัวเองคือ การที่เราได้เกิดมาก็เพราะบุญกรรมที่เราได้ทำมาจึงได้มาเป็นมนุษย์ได้ และมีอายุ มีเวลาได้ทำสิ่งต่างๆ ได้ก็เพราะเราได้ทำบุญไว้ จะเห็นได้ว่าบางคนเกิดมาก็ ตายเลยก็มี นี้ก็คงเป็นเพราะเราได้ทำบุญน้อยถึงมีอายุน้อย จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ตัวเอง ใช่ หรือไม่ครับ เป็นหนี้สิ่งแวดล้อมหมายถึงอากาศที่เราได้ใช้ ได้กิน ได้นอน ได้มีอาหารกิน เป็นต้น เป็นหนี้พ่อ แม่ หมายถึงการที่เราได้มีชีวิตได้ก็เพราะพ่อ แม่ ถ้าเราทำไม่ดีก็เท่ากับ ว่าเราอกตัญญูทำให้เราเป็นหนี้มากขึ้น เพราะทำให้แม่ทุกข์ใจ ไม่เชื่อคำสอนพ่อ แม่ เป็น หนี้เจ้านาย หรือรัฐ ฯลฯ หมายถึง การที่เราเป็นลูกจ้างหรือเป็นพลเมืองของรัฐ เป็นผู้ให้ รัฐคุ้มครองในความเป็นอยู่ เช่น ปลอดภัยจากโจรได้เพราะตำรวจ บ้านเมืองเป็นสุข เพราะมีทหารคอยคุ้มครอง เป็นต้น การเห็นแบบนี้ผมคิดว่าต้องเห็นผิดเป็นแน่ แต่ไม่รู้จะ ละความเห็นผิดนี้ได้อย่างไร ควมเห็นผิดนี้มีผลคือ ทำสิ่งได้ก็ไม่เป็นบุญ เพราะเชื่อว่า เราทำเพราะใช้หนี้ คิดอยู่อย่างนี้ทุกครั้งที่ทำความดี เช่นบริจาคเลือด ก็คิดว่าที่ต้องทำ อย่างนี้ก็เพราะเราได้เอาอาหารมาจากพ่อแม่หรือนายจ้างที่ให้เราได้ทำงาน หรืออาหารที่ ชาวไร่ชาวนาทำให้เราได้ซื้อกิน ก็คิดว่าเราเป็นหนี้อยู่ร่ำไป นี้เป็นเรื่องจริงๆ ของคนๆ หนึ่งที่มีวิธีคิดที่ผิดๆ จะทำอย่างไรเพื่อละความเห็นผิดนี้ได้ครับ ขอคำชี้แนะหน่อยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หากเราคิดเป็นเรื่องราว ก็เข้าใจว่า เป็นหนี้คนนั้น เป็นหนี้คนนี้ เป็นหนี้บ้านเมือง สิ่งต่างๆ แต่ในความจริง ขอให้กลับมาเริ่มที่ความเข้าใจถูกเบื้องต้นว่า มีแต่เพียง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เรา คือ มีแต่ จิต เจตสิกและรูปที่ทำหน้าที่ ดังนั้น อะไร คือ หนี้ที่ถูกต้องและเป็นสัจจะ หนี้ คือ สิ่งที่ต้องชดใช้ ก็ไม่พ้นจาก จิต เจตสิกอีก เช่นกัน
ดังนั้น คำว่าหนี้ การชดใช้จากการกู้ยืม เป็นต้น ก็เป็นเรื่องราวที่สมมติกันขึ้นว่าเป็น หนี้ แท้ที่จริง ก็เป็นเพียงสภาพธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าได้อุปมา เรื่องการกู้ยืมที่เป็นหนี้ โดยพระองค์แสดงถึงสัจจะ ว่าเป็นคือ สภาพธรรมที่เป็นหนี้ หนี้ ที่เป็นสัจจะ คือ ขณะ ที่เป็นอกุศล ที่เป็นอกุศลกรรม ดังนั้น จิตใดที่เป็นอกุศลมีกำลัง เป็นบาป มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ขณะนั้นเป็นหนี้แล้ว เพราะได้มีการกู้ยืมและต้องชดใช้หนี้ ดังนั้น เมื่อใด ประพฤติทุจริตทางกาย วาจาและใจ เป็นหนี้ และต้องใช้หนี้ คือ เมื่อกรรมให้ผล มีการ ตกนรก เป็นต้น ก็เป็นการใช้หนี้ ดังนั้น ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็มีการกระทำบาป ก็เป็น หนี้ และสะสมหนี้ที่ต้องชดใช้ไปตลอด
ประโยชน์ของการเข้าใจเรื่องหนี้ คือ เข้าใจว่าหนทางในการใช้หนี้ ไม่ให้มีหนี้ คือ ละกิเลสเพื่อไม่ให้มี อกุศลกรรมอีกต่อไป คือ การอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลส ด้วยการ ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ครับ
ส่วนการทำความดี ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้หมายถึง จะต้องไปใช้หนี้ประเทศ หรือ ใคร แต่เป็นการทำความดีเพื่อขัดเกลากิเลส ความดี เป็นความดี เกิดขึ้นแล้ว ย่อมให้ผลในสิ่งที่ดีกับผู้ทำ แต่ถ้าไม่เข้าใจว่า ความดี เป็นแต่เพียงธรรม ก็จะทำให้เข้าใจว่า ทำ ความดี เพื่อบุคคลนั้น บุคคลนี้ เพื่อใช้หนี้บุคคลต่างๆ แท้ที่จริง ความดีที่เกิดขึ้น ไม่ได้ ใช้หนี้ สัตว์ บุคคล แต่ความดีที่เกิดขึ้น คือ ชำระล้างสันดาน คือ จิตนั้นเอง ให้เบาบาง จากกิเลสครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... อิณสูตร ... วันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕
ขออนุญาตนำคำพูดท่านอาจารย์สุจินต์ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องการชำระหนี้ครับ
เมื่อมีผู้ถามเรื่องการชำระหนี้ ท่านอาจารย์ตอบว่า
ถาม หนี้สินอื่นก็ได้ชำระหมดแล้ว แม้แต่หนี้ชีวิตก็ชำระกันไปบ้าง ในชาตินี้ผมเองก็ไม่ได้มีหนี้อะไรกับใคร
สุ. จริงหรือคะ ถ้ามีกิเลส แล้วยังมีหนี้นะคะ
ผู้ถาม กำลังจะถามอาจารย์ว่า มีเหลือแต่หนี้กิเลส ถ้าจะชำระกันแล้ว วันหนึ่งถ้าทำบัญชีรับจ่ายแล้ว ก็ขาดดุลทุกวัน มากมายเหลือเกิน แล้วจะชำระอย่างไรครับ
สุ. จะเอาศรัทธาที่ไหนมามากๆ จะเอาสติที่ไหนมามากๆ จะเอาวิริยะที่ไหนมามากๆ จะเอาปัญญาที่ไหนมามากๆ ต้องค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย ทีหนี้ ยังมีทีละเล็กทีละน้อย จนหนาแน่น เพราะฉะนั้น เวลาจะชำระหนี้ ก็ต้องหาทรัพย์ คือ อริยทรัพย์ ได้แก่ ศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา ที่เกิดในขณะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ชำระหนี้ไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย โดยระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ดีค่ะ ที่จะรู้สึกตัวว่า ยังเป็นหนี้อยู่ เพื่อที่จะได้ชำระหนี้ ถ้าไม่รู้ตัวว่าเป็นหนี้ ก็จะไม่ชำระหนี้ ใช่ไหมคะ ก็พอกพูนไป แต่ว่าเรื่องการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นเรื่องที่รู้ได้จริงๆ เพราะเหตุว่าเป็นสัจธรรม เป็นของจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าเป็นหนี้ทรัพย์สินเงินทอง ยังมีทางที่จะชดใช้ให้หมดสิ้นไปได้ ไม่เหมือนกับการเป็นหนี้ของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังของกรรมว่าจะให้ผลมากน้อยเพียงใด จะสิ้นสุดลงเมื่อไร แล้วก็จะให้ผลสืบต่อมากน้อยในภูมิไหนด้วย กล่าวคือ ถ้าเป็นกรรมที่หนัก แม้ว่าจะเกิดในนรกแล้ว ได้รับผลของกรรมแล้ว แต่ยังไม่หมดหนี้ของกรรมนั้น แม้ว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ กรรมนั้นก็ยังติดตามมาให้ผลได้ การที่จะไม่ให้มีหนี้ (คืออกุศลกรรม) ได้นั้น ต้องดับที่เหตุให้เป็นหนี้ นั่นก็คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง และการที่จะดับกิเลสได้นั้น ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา (ความเข้าใจถูก เห็นถูก) เท่านั้น จึงจะดับได้ ถ้าไม่มีปัญญาเลย การดับกิเลส ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เราไม่สามารถแก้ไขอกุศลกรรมที่ทำไปแล้วได้ แต่ในขณะนี้ เราสามารถเริ่มที่จะสะสมในสิ่งที่ดี สะสมกุศลได้ กล่าวได้ว่า เป็นคนดี ควบคู่ไปกับการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมมากขึ้น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นความเขื่อผิด แต่ไม่ใช่ความเห็นผิดโดยตรง วิธีแก้ใข คือการศึกษาธรรมะ
การฟังธรรมให้เข้าใจ ความเชื่อผิดๆ ก็จะค่อยๆ หมดไป ค่ะ