[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ 362
สูตรที่ ๔
ว่าด้วยทักขิไณยบุคคล ๒ จำพวก
[๒๘๐] ๓๘. ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดี ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในโลกมีทักขิไณยบุคคลกี่จำพวก และควรให้ทานในเขตไหน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนคฤหบดี ในโลกมีทักขิไณยบุคคล ๒ จำพวก คือ พระเสขะ ๑ พระอเสขะ ๑ ดูก่อนคฤหบดี ในโลกนี้มีทักขิไณยบุคคล ๒ จำพวกนี้แล และควรให้ทานในเขตนี้.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดาได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า "ในโลกนี้ พระเสขะกับพระอเสขะ เป็นผู้ควรแก่ ทักษิณาของทายกผู้บูชาอยู่ พระเสขะ และอเสขะ เหล่านั้นเป็นผู้ตรงทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ นี้เป็นเขตบุญของทายกผู้บูชาอยู่ ทานที่ให้แล้วใน เขตนี้มีผลมาก"
จบ สูตรที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ในสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ทกฺขิเณยฺยา ความว่า ทาน ท่านเรียกว่า ทักษิณา. ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีถามว่า บุคคลก็เหล่าที่ควรรับทานนั้น ด้วยบทว่า เสกฺโข นี้ ท่านแสดงพระเสขบุคคล ๗ จำพวก แลในบทนี้ ท่านสงเคราะห์แม้ปุถุชนผู้มีศีล ด้วยพระโสดาบันนั้นแล.
บทว่า อาหุเนยฺยายชมานานํ โหนฺติ ความว่า เป็นผู้ควรแก่ของที่นำมาบูชา ของผู้ถวายทาน คือเป็นผู้รับทาน.
บทว่า เขตฺตํ ได้แก่ เป็นพื้นที่ คือที่ตั้งอธิบายว่า เป็นที่งอกงามแห่งบุญ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 353
อรรถกถาสูตรที่ ๔
บทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ แปลว่า ผู้ควรแก่ทักษิณา พระขีณาสพทั้งหลายเหล่าอื่นก็ชื่อว่า พระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ ในบทว่า ทกฺขิเณยฺยานํ นั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น พระเถระกำลังบิณฑบาตก็เข้าฌานมีเมตตาเป็นอารมณ์ ออกจากสมาบัติแล้ว จึงรับภิกษาในเรือนทุกหลัง ด้วยทายกผู้ถวายภิกษาจักมีผลมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ผู้ควรแก่ทักขิณา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น