[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 631
เถรีอปทาน
กุณฑลเกสวรรคที่ ๓
ภัททกาปิลานีเถรีอปทานที่ ๗ (๒๗)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททกาปิลานีเถรี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 631
ภัททกาปิลานีเถรีอปทานที่ ๗ [๒๗]
ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททกาปิลานีเถรี
[๑๖๗] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติ ขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาของเศรษฐีมี ชื่อว่าวิเทหะ มีรัตนะมาก ในเมืองหังสวดี
บางครั้ง เศรษฐีนั้นพร้อมกับนรชนที่เป็น บริวาร เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นดังดวง อาทิตย์แห่งนรชน ได้ฟังธรรมของพระองค์อัน เป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก ทรงประกาศ พระสาวกองค์หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายกล่าวคุณแห่งธุดงค์
เศรษฐีผู้เป็นสามีแห่งดิฉันได้ฟังแล้ว ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้คงที่ตลอด ๗ วัน แล้วซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่ง นั้น ก็ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านรชน เมื่อจะทรงให้บริษัทรื่นเริง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 632
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้เพื่อทรงอนุ- เคราะห์เศรษฐีว่า ดูก่อนบุตร ท่านจะได้ตำแหน่ง ที่ตนปรารถนา จงเป็นผู้เย็นใจเถิด
ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดา พระนามว่าโคดม จักมีสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านนี้จักได้เป็นธรรมทายาท ของพระ ศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอสอันธรรมนิรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัสสปะ
เศรษฐีได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีความเบิกบานใจ มิจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้นพิเศษ ด้วย ปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงยัง พระศาสนาให้รุ่งเรืองแล้ว ทรงกำจัดเดียรถีย์ที่ชั่ว และทรงแนะนำประชาชนที่ควรแนะนำแล้ว พระ องค์กับทั้งพระสาวกก็ปรินิพพาน
เมื่อพระสุคตเจ้าซึ่งเป็นผู้เลิศในโลก พระ องค์นั้นปรินิพพานแล้ว เศรษฐีนั้นเชิญญาติและ มิตรมาประชุมแล้ว พร้อมกับญาติและมิตรเหล่า นั้น ได้สร้างพระสถูปสำเร็จด้วยรัตนะ สูง ๗ โยชน์ งามเหมือนดวงอาทิตย์ และต้นพระยารังที่มี ดอกบาน เพื่อสักการะบูชาพระศาสดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 633
ดิฉันได้ให้ช่าง ๗ คนเอารัตนะ ๗ อย่าง ทำตะเกียง ๗ แสนดวงแก้ว เอาน้ำมันหอมใส่ เต็มทุกถ้วย ตามประทีปไว้ ณ ที่นั้น ลุกโพลง ดังไฟไหม้ป่าอ้อ เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหา คุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์
ดิฉันให้ช่างทำหม้อ ๗ แสนหม้อ เต็ม ด้วยรัตนะต่างๆ มีพวงทองตั้งไว้ในระหว่างหม้อ ๘ ใบ รุ่งเรืองด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสารทสมัย เพื่อบูชาพระศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ที่ประตูทั้ง ๔ มีเสาระเนียดสำเร็จด้วย รัตนะ มีแท่นมากสำเร็จด้วยรัตนะ ตั้งไว้งดงาม น่ายินดี ทั้งมีคูปลูกพรรณดอกไม้น้ำเป็นระเบียบ ดี และมีธงรัตนะยกขึ้นไว้ ล้วนแต่งงามไพโรจน์ พระเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะนั้นๆ สร้างไว้มีสีสุก งามดี รุ่งโรจน์ด้วยสีเหมือนดวงอาทิตย์ที่มีรัศมี งาม.
พระสถูปของดิฉันมี ๓ ด้าน ด้านหนึ่ง ดิฉันบรรจุเต็มไปด้วยหรดาล ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุ เต็มไปด้วยมโนศิลา ด้านหนึ่งดิฉันบรรจุเต็มไป ด้วยแร่พลวง
ดิฉันให้ช่างสร้างเครื่องบูชาที่น่ายินดี เช่นนี้แล้ว ได้ถวายทานแก่พระสงฆ์ผู้กล่าวธรรม อันประเสริฐตามกำลัง ตลอดชั่วชีวิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 634
ดิฉันกับเศรษฐีนั้นทำยัญเหล่านั้นโดย ประการทั้งปวงจนตลอดชีวิต แล้วได้ไปสู่สุคติภพ พร้อมกัน
เสวยสมบัติทั้งหลายในเทวดาและมนุษย์ ท่องเที่ยวไปกับเศรษฐีนั้น ปานประหนึ่งว่าเงา ติดตามไปกับตัวฉะนั้น
ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้พระพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ผู้เป็นนายกของโลก มีพระเนตรงาม ทรงเห็นแจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวง เสด็จ อุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น พราหมณ์ที่ประชุมชนสมมติว่า เป็นผู้ดี สมบูรณ์ด้วยความดี มั่งมีทรัพย์ อยู่ ในพระนครพันธุมดี
แม้ครั้งนั้น ดิฉันเป็นพราหมณ์ของ พราหมณ์นั้น มีจิตเสมอกัน บางครั้ง พราหมณ์นั้น เข้าไปเฝ้าพระมหามุนี ซึ่งประทับในหมู่ชนทรง แสดงธรรมส่วนอมตบทอยู่ ได้ฟังธรรมแล้วเบิกบานใจ ได้ถวายผ้าห่มผืนหนึ่ง
มีผ้านุ่งผืนเดียวกลับไปถึงเรือน แล้วได้ บอกดิฉันว่า ดูก่อนน้องหญิงผู้มีบุญมาก เชิญ อนุโมทนาเถิด ผ้าห่มฉันถวายพระพุทธเจ้าแล้ว
ขณะนั้นดิฉันประนมอัญชลีกล่าวอนุโมทนาว่า นายขา ผ้าห่มท่านถวายดีแล้วแด่พระ พุทธเจ้าผู้ประเสริฐ คงที่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 635
พราหมณ์กับดิฉันเป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ พราหมณ์ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในพระนครพาราณสี
ครั้งนั้น ดิฉันได้เป็นพระมเหสีสูงกว่า พวกพระสนม เป็นที่สองของท้าวเธอ ท้าวเธอ โปรดปรานดิฉัน เพราะสิเนหาเนื่องมาแต่ภพ ก่อนๆ
พระเจ้าแผ่นดินนั้นทอดพระเนตรเห็น พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ ผู้กำลังเที่ยวไป เพื่อบิณฑบาต ทรงพอพระทัย ได้ถวายบิณฑบาต ที่ควรแก่ค่ามาก
ครั้นแล้วทรงนิมนต์ไว้ ทรงสร้างมณฑป แก้วประดับด้วยทอง มีความเปล่งปลั่ง อันพวก ช่างทองคำไว้ มีส่วน ๑๐๐ ศอก
ท้าวเธอทรงเลื่อมใส รับสั่งให้อาราธนา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด แล้วได้ทรงถวายทาน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเข้ามาในพระ ราชนิเวศน์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
แม้ครั้งนั้น ดิฉันก็ได้ถวายทานนั้นร่วม กันกับพระเจ้ากาสี ดิฉันมาเกิดในกาสิกคาม ใน พระนครพาราณสีอีก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 636
พระเจ้ากาสีกับพระภาดามาเกิดในสกุล กุฏุมพี มีความเจริญ เพียบพร้อมด้วยความสุข ดิฉันเป็นภรรยาของพราหมณ์คนพี่ มีวัตรในสามี เป็นอย่างดี
น้องชายของสามีดิฉัน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว เอาอาหารของพี่ชายถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพี่ชายซึ่งเป็นสามีดิฉันมาแล้ว ดิฉันก็บอกเรื่องนั้น
เขามิได้ยินดีทาน ขณะนั้น ดิฉันก็ถวาย ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น โดยดิฉันนำข้าว มาให้สามีของดิฉัน ถวายอาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
เวลานั้น ดิฉันโกรธเททานของพระปัจ- เจกพุทธเจ้านั้นเสียแล้ว ได้ให้บาตรอันเต็มด้วย เปือกตมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้คงที่นั้น
ครั้งนั้น ดิฉันเห็นสามีมีสีหน้าแสดงว่า มีจิตสงบในการให้ การรับ การไม่เคารพ และ การประทุษร้าย จึงสลดใจมาก
ดิฉันรับบาตรมาแล้ว เอาน้ำหอมอย่างดี ล้างให้สะอาด ดิฉันมีจิตเลื่อมใส เอาน้ำตาลกรวด กับเปรียงใส่บาตรจนเต็มแล้ว ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 637
ดิฉันเกิดในภพไหนๆ ก็มีรูปสวย เพราะถวายทาน แต่มีกลิ่นตัวเหม็น เพราะทำ ความไม่ดี หยาบคายต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า.
เมื่อพระเจดีย์แห่งพระกัสสปธีรเจ้าซึ่ง สามีให้สำเร็จแล้ว ดิฉันมีความยินดีได้ถวายแผ่น อิฐทองคำอย่างดี เอาแผ่นอิฐนั้นชุบจนเปียก ด้วยน้ำหอมที่เกิดแต่เครื่องหอมสี่ชนิด จึงพ้นจาก โทษที่มีกลิ่นตัวเหม็น งดงามดีทั่วสรรพางค์
และให้ช่างเอารัตนะ ๗ ประการทำ ตะเกียง ๗ แสนดวง ใส่เปรียงเต็มแล้ว ให้ใส่ ไส้พันไส้ ตามประทีปตั้งไว้ ๗ แถว เพื่อบูชา พระพุทธจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ด้วยจิต อันเลื่อมใส แม้ในครั้งนั้น ดิฉันมีส่วนในบุญนั้น โดยพิเศษ
สามีของดิฉันไปเกิดในแคว้นกาสี มีนาม ปรากฏว่าสุมิตตะ ดิฉันเป็นภรรยานายสุมิตตะนั้น เป็นผู้เจริญด้วยสุขสมบัติ เป็นที่รักของสามี
ครั้งนั้น สามีของดิฉันได้ถวายผ้าโพก ศีรษะเนื้อดีแก่พระปัจเจกมุนี แม้ดิฉันก็มีส่วน แห่งทานนั้น อนุโมทนาทานอันอุดม สามีไปเกิด ในกำเนิดแห่งชาวโลกิยะในแคว้นกาสี
ครั้งนั้น สามีของดิฉัน พร้อมกับบุตร ของชาวโกลิยะ ๕๐๐ คน ได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 638
เหล่านั้นให้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสแล้ว ได้ ถวายไตรจีวร ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาแห่ง โกลิยบุตรคนนั้น ด้วยกุศลกรรมบถที่บำเพ็ญมา
โกลิยบุตรนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็นพระราชาพระนามว่านันทะ มีอิสริยยศ มา แม้ดิฉันก็เกิดเป็นมเหสีของท้าวเธอ เป็น ผู้มั่งคั่งด้วยกามสุขทั้งปวง
พระเจ้านันทะนั้น เคลื่อนจากอัตภาพนั้น แล้วเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต เป็นใหญ่ในปฐพี ครั้งนั้น ดิฉันกับพระเจ้าพรหมทัต ได้อาราธนา พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐. องค์ ผู้เป็นพระโอรส แต่งพระนางปทุมวดี ให้มาอยู่ในพระราชอุทยาน แล้วบำรุงอยู่จนตลอดชีวิต และบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้นิพพานแล้ว
เราทั้งสองให้สร้างเจดีย์หลายองค์ แล้ว พากันบวช เจริญอัปปมัญญาแล้วได้ไปสู่พรหม โลก
จุติจากพรหมโลกแล้ว สามีของดิฉัน เกิดเป็นพราหมณ์ชื่อปิปผลายนะ ที่ประเทศมหาติตถะ มารดาชื่อสุมนเทวี บิดาเป็นพราหมณ์ โกสิโคตร
ดิฉันเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์นามว่า กปิละ มารดาชื่อสุจิมดี ในมัททชนบท เมือง สากลบุรีที่อุดม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 639
บิดาของดิฉันหล่อรูปดิฉันด้วยแท่งทองคำแล้ว ถวายรูปหล่อแก่พระพุทธกัสสปผู้เว้นจาก กามคุณ
พราหมณ์ปิปผลายนะนั้นเป็นหนุ่ม ไป ตรวจดูการงานในกาลบางครั้ง เห็นสัตว์ทั้งหลาย ที่ถูกกาเป็นต้นกันกินแล้วสลดใจ
ครั้งนั้น ดิฉันเห็นเมล็ดงาที่มีในเรือน เอาออกผึ่งแดด มีเหล่าหนอนอาศัยกินแล้ว ได้ ความสลดใจ.
ครั้งนั้น ปิปผลายนพราหมณ์ผู้มีปัญญา ออกบวชแล้ว ดิฉันก็บวชตาม อยู่ในสำนัก ปริพาชก ๕ ปี
เมื่อพระนางโคตมี ผู้เป็นพระมาตุจฉา บำรุงพระพิชิตมารทรงผนวชแล้ว ดิฉันเข้าไป หาท่าน ต่อมา พระพุทธเจ้าโปรดสั่งสอนแล้ว ไม่นานเท่าไร ก็ได้บรรลุอรหัตตผล ได้อุทานว่า น่าชม เรามีพระกัสสปเถระผู้มีสิริเป็นกัลยาณมิตร พระกัสสปเถระเป็นบุตรผู้ทายาทแห่งพระพุทธเจ้า มีจิต ตั้งมั่นดี รู้ปุพเพนิวาสญาณ เห็นสวรรค์และ อบาย
ลุถึงแล้วซึ่งความสิ้นชาติ เป็นมุนีอยู่จบ อภิญญา เป็นพราหมณ์มีไตรวิชชาด้วยวิชชา ๓ นี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 640
ดิฉันชื่อภัททาปิลานีก็เหมือนกัน ได้ ไตรวิชชา ละมัจจุราช ทรงร่างกายในภพที่สุดนี้ ชนะมารพร้อมทั้งพลมารแล้ว
เราทั้งสองเห็นโทษในโลกแล้วพากัน ออกบวช เป็นผู้หมดอาสวะ ฝึกตนแล้ว มีความ เย็น ดับสนิทแล้ว
ฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอน ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระภัททกาปิลานีภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วย ประการฉะนี้แล.
จบภัททกกปิลานีเถรีอปทาน