ผมอยากจะให้อาจารย์ช่วย อธิบายคำว่า ภพ นี้ถ้าจัดเข้าในปรมัตถธรรมจะจัดอยู่ ในข้อใด ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่คำว่า ภพน้อย ภพใหญ่ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ภพ คือ อะไร
คำว่า ภพ มาจากภาษาบาลีว่า ภว (ว่าโดยศัพท์แล้ว มีหลายความหมาย หมายถึงความมีความเป็น ความเจริญ ความเกิดขึ้นเป็นไป)
ภพ หมายถึง สถานที่เกิดของหมู่สัตว์ มี ๓๑ ภพภูมิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ภูมิ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น รูปพรหมภูมิ ๑๖ อรูปพรหมภูมิ ๔ หรือหมายถึงความบังเกิดขึ้นเป็นบุคคลต่างๆ และ ในบางแห่งเช่น ภพ ในปฏิจจสมุปบาท ภพมี ๒ ความหมาย คือ กรรมภพ หมายถึง เจตนาเจตสิก (อกุศลเจตนา โลกิยกุศลเจตนา) และอุปปัตติภพ หมายถึง ผลของเจตนา (โลกิยวิบาก รวมทั้งเจตสิกที่ประกอบ และกัมมชรูป) ด้วย ในอรรถกถาโลกสูตร แสดงไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นภพใดๆ ก็ตาม ไม่พ้นไปจากขันธ์ คือ ความเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป.
ดังนั้น ภพ ในปรมัตถธรรม ก็มุ่งหมายถึง เจตนาเจตสิก ครับ
ขอแสดง ภพ เพิ่มเติม โดยนัยอื่นๆ ดังนี้
ภพ ยังแบ่งเป็นอีกหลายนัยดังนี้ ครับ
1. สัมปัตติภพ
2. สมบัติสมภพ
3. วิปัตติภพ
4. วิปัตติสมภพ
» สัมปปัติภพ คือ สุคติโลกสวรรค์
» สมบัติสมภพ หมายถึง กรรมดีที่เป็นกุศลกรรม ที่ทำให้เกิดในสุคติ
» วิปัตติภพ คือ อบายภูมิ มี นรก เป็นต้น
» วิปัตติสมภพ คือ อกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในอบายภูมิ
จากที่กล่าวจะเห็นได้ครับว่า ภพ แสดงถึง ความมี ความเป็น ของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นเป็นไป ดังนั้น โดยมากเราจะคิดถึงภพ ที่หมายถึงภพนี้ คือ ที่อยู่ของหมู่สัตว์เท่านั้น ภพหน้า ก็เป็นเทวโลก นรก เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง กุศลกรรมที่กำลังทำอยู่ ก็ชื่อว่าเป็นภพแล้ว ที่จะทำให้เกิดในภพภูมิที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ที่ดี และ การทำชั่ว อกุศลกรรม ก็เป็นภพในขณะนั้น ที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นภพหน้าที่ไม่ดีได้ แต่เมื่อว่าโดยละเอียดแล้ว การเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็เป็นการแสดงถึงความมี ความเป็น ของใคร ไม่ใช่ของสัตว์ บุคคล แต่เป็นการแสดงถึงความมี ความเป็นของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา อยู่แต่ละขณะจิต ดังนั้น ผู้ที่จะไม่มีภพเลยจริงๆ แม้ในภพนี้ คือ สภาพธรรมในขณะนี้ คือ พระอรหันต์ผู้ที่ปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม อันแสดงว่ายังมี ยังเป็น ยังมีภพอยู่ เพราะฉะนั้น กำลังมีภพกันอยู่ และตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังจะต้องมีภพหน้า ที่หมายถึง ขณะจิตต่อๆ ไป ไม่ใช่เพียงความหมายที่ยาวไกลที่เป็นภพหน้า มี นรก สวรรค์เท่านั้น ขณะจิตที่เกิดต่อๆ ไป ก็เป็นภพหน้าอยู่ ดังนั้น การจะดับภพ ดับการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็นไป ก็ด้วยการดับเหตุ คือ กิเลสที่เป็นต้นเหตุให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม มีภพไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ย่อมค่อยๆ ละกิเลสไปตามลำดับ จนถึงการไม่มีภพในที่สุด เพราะฉะนั้น เมื่อฟังเรื่องภพแล้ว จึงย้อนกลับมาที่ตนเอง ว่าตนเอง เป็นผู้ประกอบ สมบัติสมภพ คือ กรรมดีที่เป็นให้เกิดสุคติ หรือว่าประกอบวิปัตติสมภพ ที่เป็นกรรมชั่ว ที่ทำให้เกิดในอบาย เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว จึงอบรมเหตุที่จะทำให้ สมบัติสมภพ กุศลกรรมเจริญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
ดังนั้น ผู้ที่ยังท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ที่เรียกว่า ภพน้อย ภพใหญ่ เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อวิชชา จึงมีเหตุของการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ที่เรียกว่า ภพ มีการเกิด อุบัติในภพภูมิต่างๆ ที่เรียกว่า ภพน้อย ภพใหญ่ เพราะฉะนั้น หนทาง ดับภพน้อย ภพใหญ่ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญา และ เจริญกุศลทกุๆ ประการ ที่เป็นบารมี เพื่อถึงการดับกิเลส อันเป็นหนทางการละภพน้อย ภพใหญ่ คือ ไม่มีการเกิดอีกเลย ครับ ขออนุโมทนา
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์เพิ่มเติมในเรื่องภพ ครับ
ภพ ภาษาบาลีใช้คำว่า “ภว” ความมี หรือความเป็น ขณะนี้ก็เป็นความมีความเป็น เพราะเหตุว่าเรากำลังอยู่ในที่นี่ เพราะฉะนั้นก็เป็นภพหนึ่งหรือชาติหนึ่ง แต่ละขณะๆ ซึ่งไม่สูญไปเลย จะพูดว่าแต่ละขณะที่มีชีวิตอยู่ ก็มีภาวะหรือมีความเป็น ขณะนี้กำลังเป็นภาวะของบุคคลนี้ ก็เห็น ก็ได้ยิน ก็คิดนึกอย่างนี้ แต่พอพ้นภาวะนี้ไปสู่ภาวะอื่น หลังจากตาย ก็แล้วแต่ว่าจะเกิดในภพไหน ภูมิไหน อาจจะเป็นภูมิอื่น หรืออาจจะเป็นภูมิเก่านี่ก็ได้ แต่ว่าไม่ใช่คนเก่า ก็ต้องเป็นคนใหม่ ทุกๆ ขณะ คือ สภาพความมี ความเป็น
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างแท้จริงเพื่อให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่า ภพน้อย ภพใหญ่ก็มีความละเอียดหลากหลายนัย เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจากขันธ์ คือ ความเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปเป็นความจริงที่ว่า ทุกคนที่ยังเป็นผู้มีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรๆ เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ตัณหา และ อวิชชา ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไปเป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์ จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างและในชาตินี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผล กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดาแต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ถึงแม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะบุคคลผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีก ไม่ต้องเดินทางในสังสารวัฏฏ์ ไม่ต้องเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกมีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์
เป็นที่น่าพิจารณาจริงๆ ว่า การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลยสั้นมาก เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุ คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกในชาติต่อไป แล้วอะไร คือ ประโยชน์ที่ผู้ที่ยังมีการเกิดอยู่ควรจะได้ถือเอา เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจาก การได้สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ อนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ และอาจารย์ทุกท่าน ที่ช่วยให้รู้และเกิดความเข้าใจ ในการรู้จักสภาวะของคำว่า ภพ ได้มากเลยครับ ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่านค่ะ
มีเหตุให้ได้เกิดในภพนี้ เป็นโอกาสประเสริฐยิ่งที่ได้เจริญกุศลและอบรมปัญญา จากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมเหตุสำหรับภพต่อๆ ไป ตราบที่ยังไม่สิ้นสุดการเดินทางที่แสนไกล
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ