ข้อความต่อไปเป็นเรื่องการคิด ข้อความมีว่า
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะตรึก เธอย่อมใส่ใจว่า เราจักไม่ตรึกในวิตกเห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นวิตกที่เลวทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ กามวิตก พยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องการตรึก และเธอใส่ใจว่า เราจักตรึกในวิตก เห็นปานฉะนี้ ซึ่งเป็นวิตกของพระอริยะ เป็นเครื่องนำออก ที่นำออกเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่บุคคลผู้ทำตาม คือ เนกขัมมวิตก อัพยาปาทวิตก อวิหิงสาวิตก ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้ตัวในการตรึก
วันหนึ่งๆ นี่คิดบ่อยเหลือเกิน ถ้าไม่เจริญสติจะไม่ทราบเลยว่า ที่คิดนั้นเป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล แต่ถ้าเจริญสติทราบได้จริงๆ ว่า จิตในขณะนั้นเป็นความกังวลด้วยโลภะ หรือด้วยความขัดเคืองใจ หรือเป็นเพราะโมหะก็ได้ เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่จิตเป็นโลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิต ตรึกไปในเรื่องของความพอใจบ้าง ในเรื่องของความไม่พอใจบ้าง ในขณะนั้นไม่มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตดวงนั้นเลย ซึ่งวันหนึ่งๆ ก็เป็นอย่างนี้ สำหรับผู้ที่หลงลืมสติมานาน และเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส กิเลสทำให้หลงลืมสติ ทำให้จิตเกิดขึ้นเป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติก็เกิดระลึกได้ เป็นเนกขัมมวิตก ระลึกรู้ลักษณะของนาม หรือรูปในขณะใด ขณะนั้นออกจากกามที่จะเป็นไปในการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน ด้วยการที่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เป็นเนกขัมมวิตก เป็นอพยาปาทวิตก เป็นอวิหิงสาวิตก
หรือว่า ในขณะที่เป็นกุศลจิต สติเกิดขึ้น เว้นการตรึกที่เป็นกามวิตก พยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก เมื่อสติเกิดขึ้นเว้นในขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใช่มีปกติเจริญสติ ในขณะนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงนามชนิดหนึ่ง หรือว่าเป็นรูปที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าเป็นนาม หรือเป็นรูป ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ จึงจะรู้ได้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 104