นรก สวรรค์ ภพภูมิอื่น
โดย ปัณฑฬะ  16 พ.ย. 2554
หัวข้อหมายเลข 20039

นรก สวรรค์ ภพภูมิอื่น ที่มองไม่เห็น จะอธิบายกับผู้อื่นได้ไงว่ามันมีอยู่จริงๆ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูก ศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงจะเชื่อ และเห็นคล้อยตามในเรื่องภพภูมิข้างหน้า มี นรก สวรรค์ เป็นต้นครับ แต่ผู้ที่ไม่ไ่ด้สะสมปัญญา ศรัทธามาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นแรื่องยากที่จะเชื่อ เพราะเหตุว่า เหตุการณ์ หรือ สถานที่นั้น เขายังไม่เห็น และเวลานั้นยังมาไม่ถึงครับ

อย่างไรก็ตาม ก็ขออธิบาย ตามแนวให้พอเข้าใจในเรื่อง สวรรค์และนรก ว่ามีจริง หรือไม่ครับ

นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่

พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก เพื่อให้เห็นว่า กรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมี จากผลของการทำชั่ว

หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง

ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไมบางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมานทางกายมากกว่าคนอื่น ทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ ครับ

ในการได้รับสุข ได้รับทุกข์ ผู้ที่ได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ดี คือการกระทำกุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 16 พ.ย. 2554

บนโลกเราทำไมบางคนอาจโดนไฟไหม้ตัวเอง แต่ระยะเวลาไม่นาน แล้วจะมีสถานที่อื่นไหมที่ถูกไฟเผาตัวเองเป็นเวลานาน ทำไมคนอื่นไม่ถูกไฟไหม้ แต่ทำไมต้องเป็นคนนี้ เพราะกรรมที่ไม่ดีของคนนั้นให้ผล แล้วถ้ากรรมที่ไม่ดีที่มีมาก มีกำลัง ผลก็ย่อมรุนแรงกว่านี้ ย่อมจะมีสถานที่ที่ได้รับการถูกเผาด้วยไฟนานกว่านั้น นี่เราพูดถึงเรื่องของเหตุและผล ว่ากรรมที่ทำที่เป็นกรรมไม่ดี ก็มีตั้งแต่มีกำลังน้อยก็ให้ผลไม่มาก จนถึงกรรมไม่ดีที่มีกำลังมาก การให้ผลก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดีมาก อันมีสถานที่ที่สมควรแก่การรับผลในทางที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น

สัตว์เดรัจฉานบางประเภทก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่ระยะเวลาไม่นาน นี่เราพอจะเห็นได้ เป็นนรกของสัตว์หรือเปล่า ซึ่งก็ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ไม่ดี แต่จะมีสถานที่อื่นไหมที่จะต้องได้รับการฆ่าทรมานมากกว่านั้น เพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นมีกำลังมาก จึงต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรม ตามกำลังของกรรมชั่วที่ทำไว้

โดยนัยเดียวกับเรื่องของสวรรค์ ในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับความสุข ได้พบสิ่งที่ดี นั่นเป็นผลของกุศลกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล แต่หากเป็นกุศลกรรมที่มีกำลัง ประณีต ผลของกุศลนั้นก็ย่อมให้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น อันมีสถานที่ที่เหมาะสมกับการได้รับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ดี ประณีต มีกำลัง มีสวรรค์ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของเหตุและผล เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม กรรมดีมี กรรมที่ดี ประณีตมากๆ ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่ทำดี

กรรมไม่ดี มีจริง และถ้าเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังมาก ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ไม่ดี มีนรก เป็นต้น


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ส่วนในความเป็นจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นจึงเป็นไปตามความคิดนึก ความเข้าใจของแต่ละบุคคล ไม่เห็น จะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีไม่ได้ แต่การจะรู้ว่ามีหรือไม่มีนั้นจึงเป็นการเห็นด้วยปัญญา เข้าใจตามโดยไม่ได้เชื่อตามตำรา แต่เพราะพิจารณาเหตุผลตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ย่อมเข้าใจความจริงว่า เมื่อเหตุมี ผลก็ย่อมมี เมื่อทำกรรมดีที่มีกำลังก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการับผลของกรรม เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่มีกำลัง เมื่อให้ผลก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมครับ

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องนรก-สวรรค์ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายเห็นโทษของอกุศลกรรมและเห็นประโยชน์ของกุศลกรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของเหตุผลครับ

ในพระไตรปิฎก ได้มีการซักถามและการพูดคุยในเรื่องของภพภูมิข้างหน้าที่เป็นนรกและสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่

ในปายาสิราชัญญสูตร พระเจ้าปายาสิ ไม่เชื่อในเรื่องโลกหน้า ไม่เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในการกล่าวธรรมวิจิตร ได้แก้ข้อสงสัยและความเชื่อผิดของพระเจ้าปายาสิ ที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรก สวรรค์

ซึ่งท่านพระกุมารกัสสปะ ได้แก้ความเข้าใจผิดที่พระเจ้าปายาสิกล่าวแย้งได้เป็นอย่างดี เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้เข้าใจเรื่อง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ครับ

ขออนุโมทนาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]

เชิญคลิกอ่านกระทู้เพิ่มเติมครับ

นรก และเหตุที่ทรงแสดงภูมิต่างๆ

จะพิสูจน์อย่างไรว่านรก สวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 4    โดย ปัณฑฬะ  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ ที่ตอบคำถาม ครับ

อนุโมทนาด้วยครับ


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ละบุคคลย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ที่จะไม่จากโลกนี้ไปหรือว่าที่จะไม่ตายนั้นไม่มี เกิดมาแล้วต้องตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น และหลังจากนั้นจะไปเกิดในภพภูมิใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องภพภูมิต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง ซึ่งสามารถศึกษา สอบทานเทียบเคียงได้จากพระไตรปิฎก และอรรถกถา ภพภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของหมู่สัตว์มีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ คือ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ รูปพรหม ๑๖ และ อรูปพรหมภูมิ ๔ ซึ่งมีจริงๆ สัตว์ที่เกิดในภพภูมินั้นๆ ก็มีจริงๆ อย่างเช่นที่เห็นๆ กันอยู่ คือ สัตว์ดิรัจฉาน และ มนุษย์ บางคนอาจจะคิดว่าคงจะไม่เป็นประโยชน์ ถ้ากล่าวถึงเรื่องของภพภูมิอื่นที่ไม่ปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว พระธรรมทั้งหมดมีอุปการะเกื้อกูลอย่างยิ่งแก่พุทธบริษัท เป็นประโยชน์ทุกยุคกาลสมัย เพื่อจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท แล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน และ คงจะมีบุคคลเป็นจำนวนมากที่กล่าวว่า “ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์” แล้วสัตว์ดิรัจฉาน กับ มนุษย์ ล่ะ เคยเห็นบ้างไหม เคยรู้บ้างหรือไม่ว่า เป็นสัตว์โลกในภพภูมิ เช่นเดียวกัน โดยที่สัตว์ดิรัจฉานเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ส่วนมนุษย์ เป็นสัตว์ในสุคติภูมิ ควรจะได้พิจารณาว่า เวลาที่สิ้นชีวิตลงแล้ว จะไปไหน จะไปเกิด ณ ที่ไหน? เพราะเหตุว่ามนุษยโลกนี้เป็นที่เกิดซึ่งเป็นผลของกุศลกรรม (เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้น)

แต่ว่าตลอดชีวิตมานี้รวมถึงในอดีตชาติที่ผ่านๆ มาด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะกุศลกรรมเพียงอย่างเดียว อกุศลกรรมก็มีไม่น้อยเหมือนกัน และอกุศลกรรมนี้เองเป็นปัจจัยที่จะให้ปฏิสนธิ (เกิด) ในอบายภูมิ รับผลของอกุศลกรรมนั้น ตามควรแก่อกุศลกรรมประเภทนั้นๆ

ดังนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องของภพภูมิต่างๆ เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษาแล้วก็ย่อมจะเป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในการสะสมกุศล รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ด้วย เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากการที่จะต้องเกิดในอบายภูมิ รวมถึงพ้นจากการเกิดในภพภูมิอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 6    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจาย์ผเดิม, อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 7    โดย เซจาน้อย  วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 17 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย Charlie  วันที่ 17 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย Graabphra  วันที่ 17 พ.ย. 2554

อยู่ดีๆ น้ำก็ท่วมเกือบมิดหลังคาบ้าน น้ำจะกินก็ไม่ได้ อาบก็ไม่ได้มีเชื้อโรค เต็มไปหมดไฟฟ้าก็จะดูดเอา แถมงู ตะขาบ จระเข้ จะมาทำร้าย (อาจมาพึ่งพาอาศัย หลบน้ำ ขออาหาร แต่เราคิดไปเอง ว่าจะมาทำร้าย ถ้าน้ำลดมันก็คงไป) นี่แค่ยัง เบาะๆ เล็กๆ น้อยๆ ถ้าเทียบกับในนรก ที่หากตายไปเกิด อยู่ดีๆ ก็มีไฟลุกโชติช่วง พิจารณาว่าพอเป็นไปได้ไหม (ซึ่งความทรมานเทียบไม่ได้เลยกับบนโลก) ก็ขอให้เทียบเอาเองครับ

ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปก็ขออภัยนะครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย wannee.s  วันที่ 18 พ.ย. 2554

ในโลกนี้มีสิ่งมากมายที่เรามองไม่เห็น และ มีจริงๆ แต่เราไม่เคยไป มีหลายประเทศ ทำไมถึงรู้สวรรค์ นรก ก็เช่นเดียวกัน ก็มีผู้รู้ ผู้แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น รู้ว่าสัตว์นี้ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน และว่าสัตว์ที่จะไปโปรดบรรลุได้ด้วยธรรมบทไหน เป็นต้นค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 19 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ