พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 44
อุปเนยยสูตร
[๗] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงทำบุญทั้งหลายที่นำความสุขมาให้.
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชีวิตคืออายุมีประมาณน้อย ถูกต้อนเข้าไปเรื่อย เมื่อบุคคลถูกชราต้อนเข้าไปแล้ว ย่อมไม่มีผู้ป้องกัน บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด.................................................
ทุกคนถูกชราต้อนไปสู่มรณะกันทุกขณะ ไม่มีอะไรจะป้องกันได้บุคคลเมื่อเห็นภัยในมรณะ ควรละอามิสในโลกเสียมุ่งสันติคือพระนิพพานดีกว่าคือ การศึกษาและปฏิบัติธรรม อบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ถึงซึ่งความสุขสงบอย่างแท้จริง จะถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อใดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากพระสูตรนี้คือ อุปเนยยสูตร เทวดาที่กล่าวเป็น พรหม พรหมนั้นมีอายุยืนมาก เป็น
กัป ดังนั้นเมื่อพรหม เห็นสัตว์ชั้นต่ำกว่า เช่นมนุษย์หรือเทวดา (สวรรค์) ที่มีอายุน้อย
เกิดแล้วตายเร็วมากเพราะเทียบกับอายุตน จึงกล่าวว่าอายุมีประมาณน้อย ควรทำบุญ
แต่บุญในที่นี้พรหม ประสงค์หมายถึง บุญที่เป็นขั้นฌานเพื่อให้เกิดในพรหมโลก ซึ่งก็
ยังจะต้องวนเวียนในวัฏฏะ ดับกิเลสไม่ได้ พระพุทธจึงตรัสว่าควรมุ่งสันติคือพระนิพพานเพราะดับกิเลสได้นั่นเอง แสดงให้เห็นว่า
สมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ แต่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน (วิปัสสนา) คือระลึก
ลักษณะของสภาพธัมมะที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นหนทางเดียวที่ดับกิเลสได้ครับ ย่อมนำไปสู่สันติคือพระนิพพาน ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ