[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 76
๘. โคณเปตวัตถุ
ว่าด้วยเกี่ยวหญ้าอ่อนให้โคตายกิน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 76
๘. โคณเปตวัตถุ
ว่าด้วยเกี่ยวหญ้าอ่อนให้โคตายกิน
กฏุมพีเป็นบิดาถามสุชาตุกุมารว่า
[๙๓] เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงเกี่ยวหญ้าอันเขียวสดแล้วบังคับโคแก่อันเป็นสัตว์ตายแล้วว่า จงกิน จงกิน อันโคตายแล้วย่อมไม่ลุกขึ้นกินหญ้าและน้ำมิใช่หรือ เจ้าเป็นทั้งคนพาลทั้งมีปัญญาทราม เหมือนคนอื่นที่มีปัญญาทรามฉะนั้น.
สุชาตกุมารตอบว่า
โคตัวนี้ยังมีเท้าทั้ง ๔ มีศีรษะ มีตัวพร้อมทั้งหาง นัยน์ตาก็มีอยู่ตามเดิม ข้าพเจ้าคิดว่า โคตัวนี้พึงลุกขึ้นกินหญ้าสักวันหนึ่ง ส่วนมือ เท้า กาย และศีรษะของปู่ไม่ปรากฏ แต่คุณพ่อมาร้องไห้ถึงกระดูกของปู่ที่บรรจุไว้ในสถูปดิน ไม่ เป็นคนโง่หรือ.
กุมพีได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวสรรเสริญสุชาตกุมารว่า
เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หาย เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟอันลาดด้วยน้ำมัน ฉะนั้นได้ถอนขึ้นแล้วหนอ ซึ่งลูกศรคือความโศก อันเสียบแล้วที่หทัยของบิดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 77
บิดาผู้มีลูกศรอันเจ้าถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว ดูก่อนมาณพ ต่อไปนี้บิดาจะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้า ชนเหล่าใดที่มีปัญญา มีความอนุเคราะห์ต่อมารดาบิดา ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังมารดาบิดาให้หายจากความเศร้าโศก ฉะนั้น.
จบ โคณเปตวัตถุที่ ๘
อรรถกถาโคณเปตวัตถุที่ ๘
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพีคนหนึ่ง ผู้ที่บิดาตายไป จึงตรัสคำเริ่มต้นนี้ว่า กึ นุ อุมฺมตฺตรูโปว ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บิดาของกฏุมพีคนหนึ่งได้ตายไป. เพราะบิดาตายไป เขาจึงเศร้าโศกร้อนรุ่มกลุ้มใจเที่ยวร้องไห้เหมือนคนบ้า ถามผู้ที่ตนพบเห็นว่า ท่านเห็นบิดาของฉันบ้างไหม? ใครๆ ไม่อาจจะบรรเทาความเศร้าโศกของเขาได้. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลยังโพลงอยู่ในหทัยของเขา เหมือนประทีปที่โพลงอยู่ในหม้อ.
ในเวลาเช้ามืด พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเธอ ทรงพระดำริว่า เราควรจะนำเหตุที่เป็นอดีตของกุฏุมพีนี้มาแล้ว ระงับความเศร้าโศก ให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 78
โสดาปัตติผลแก่เธอ ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้นจึงกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตร ไม่ได้พาใครเป็นปัจฉาสมณะไป ไปยังประตูเรือนของกฏุมพีนั้น. เขาได้ทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงต้อนรับ นิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังเรือน เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนอาสนะที่เขาบรรจงจัดไว้ ตนเองก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทราบสถานที่ที่บิดาของข้าพระองค์ไปแล้วหรือ? ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ดูก่อนอุบาสก เธอถามถึงบิดาในอัตตภาพนี้หรือ หรือว่าในอัตตภาพที่ล่วงไปแล้ว. เขาได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า ได้ยินว่า เรามีบิดามาก ดังนี้ จึงมีความเศร้าโศกเบาบาง ได้รับความเศร้าโศกเพียงปานกลาง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสธรรมกถา อันเป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าโศกแก่เขา ทรงทราบเขาว่าปราศจากความเศร้าโศก มีจิตสมควร จึงให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยสามุกังสิกธรรมเทศนาแล้ว ได้ เสด็จไปยังพระวิหาร.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า อาวุโส ท่านทั้งหลายจงดูพุทธานุภาพเถิด อุบาสก ผู้เพียบพร้อมด้วยความเศร้าโศกและร่ำไรเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังทรงแนะนำในโสดาปัตติผลโดยขณะนั้นนั่นเองได้. พระศาสดา เสด็จไปในที่นั้น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาบรรจงจัดไว้แล้ว จึงตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 79
ด้วยเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ที่เรากำจัดความเศร้าโศกของกฏุมพีนี้ออกไป แม้ถึงในกาลก่อน ก็ได้กำจัดออกไปเหมือนกัน ดังนี้แล้ว อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า :-
ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี บิดาของคฤหบดีคนหนึ่งได้ตายไป. เพราะบิดาตายไป เขาจึงเพียบพร้อมไปด้วยความเศร้าโศก มีหน้านองไปด้วยน้ำตา นัยน์ตาแดง คร่ำครวญอยู่ เดินเวียนขวาเชิงตะกอน. บุตรของเขาชื่อว่า สุชาตะ ยังเป็นเด็ก แต่เป็นคนฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์ด้วยปัญญา จึงคิดหาอุบายเครื่องกำจัดความเศร้าโศกของบิดา วันหนึ่งเห็นโคตัวหนึ่งตายภายนอกเมืองแล้ว นำเอาหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้าของโคที่ตายแล้วนั้น พลางยืนกล่าวว่า เจ้าจงกิน จงกินเสีย จงดื่ม จงดื่มเถิด. คนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจึงกล่าวว่า สหายสุชาตะ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ ที่ท่านน้อมนำหญ้าและน้ำไปให้โคที่ตายแล้ว เขาไม่ได้โต้ตอบอะไรๆ พวกมนุษย์จึงพากันไปหาบิดาของเขาแล้ว กล่าวว่า บุตรของท่านเป็นบ้าไปเสียแล้ว เอาหญ้าและน้ำให้โคที่ตายกิน. ก็เพราะได้ฟังดังนั้น กฏุมพีก็คลายความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเพราะปรารภถึงบิดา. เขาถึงความสลดใจว่า ได้ยินว่า บุตรของเรากลายเป็นคนบ้าไป จึงรีบไป พลางท้วงว่า นี่แน่ พ่อสุชาตะ เจ้าเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 80
ผู้ฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์ด้วยปัญญามิใช่หรือ แต่เหตุไฉนเจ้าจึงเอาหญ้าและน้ำ ให้โคที่ตายกิน จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงเกี่ยวหญ้าที่เขียวสดแล้ว บังคับโคแก่ที่เป็นสัตว์ตายแล้วว่า จงกิน จงกิน อันโคตายแล้ว ย่อมไม่ลุกขึ้นกินหญ้าและน้ำมิใช่หรือ เจ้าเป็นทั้งคนพาล ทั้งเป็นคนทรามปัญญาเหมือนคนอื่นที่มีปัญญาทราม ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ นุ เป็นคำถาม. บทว่า อุมฺมตฺตรูโปว ได้แก่ เจ้าเป็นเหมือนสภาพคนบ้า คือ ถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต. บทว่า ลายิตฺวา แปลว่า เกี่ยว. บทว่า หริตํ ติณํ แปลว่า หญ้าสด. บทว่า ลปสิ แปลว่า บังคับ. บทว่า คตสตฺตํ ได้แก่ ปราศจากชีวิต. บทว่า ชรคฺควํ แปลว่า โคแก่ที่หมดกำลัง. บทว่า อนฺเนน ปาเนน ได้แก่ หญ้าที่เขียวสดและน้ำดื่มที่ท่านให้. บทว่า มโต โคโณ สมุฏฺเห ได้แก่ โคที่ตายแล้ว หามีชีวิตลุกขึ้นได้ไม่. บทว่า ตฺวํสิ พาโล จ ทุมฺเมโธ ความว่า เจ้าชื่อว่าเป็นคนพาล เพราะประกอบด้วยความเป็นคนพาล และชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาทราม เพราะปัญญากล่าวคือเมธาไม่มี. บทว่า ยถา ตญฺโว ทุมฺมติ ความว่า แม้คนอื่นที่ไร้ปัญญา ก็พึงบ่นเพ้อไปฉันใด ตัวเจ้าก็บ่นเพ้อถึงสิ่งไร้ประโยชน์ ฉันนั้น บทว่า ยถา ตํ เป็นเพียงนิบาต. อีก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 81
อย่างหนึ่ง บทว่า ทุมฺมติ ความว่า เจ้าแม้เป็นผู้มีปัญญา ก็เงยหน้า บ่นเพ้อเหมือนคนบ้าอื่นๆ.
สุชาตกุมารได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศความประสงค์ของตนเพื่อให้บิดายินยอม จึงได้กล่าว ๒ คาถาว่า :- โคตัวนี้ยังมีเท้าทั้ง ๔ ข้าง มีศีรษะ มีตัวพร้อมทั้งหาง นัยน์ตาก็มีอยู่ตามเดิม ข้าพเจ้าคิดว่า โคตัวนี้จะพึงลุกขึ้นกินหญ้าสักวันหนึ่ง ส่วนมือ เท้า กาย และศีรษะของคุณปู่ไม่ปรากฏ แต่คุณพ่อมาร้องไห้ถึงกระดูกของปู่ที่บรรจุไว้ในสถูปดิน จะไม่เป็นคนโง่ไปดอกหรือ.
ความแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ :-
โคตัวนี้มีเท้า ๔ ข้างนี้ มีศีรษะ มีกายพร้อมด้วยหาง เพราะเป็นไปกับด้วยหางและมีเนตรคือนัยน์ตา มีทรวดทรงไม่แตกสลาย ยังทรงอยู่เหมือนก่อนแต่ตาย. บทว่า อยํ โคโณ สมุฏฺเห ความว่า เพราะเหตุนี้ ผมจึงคิดว่า โคตัวนี้จะพึงลุกขึ้น คือจะพึงยืนขึ้นได้เอง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โคเห็นจะลุกขึ้นได้. เพราะเหตุนั้นเราจึงเข้าใจว่า โคตัวนี้พึงพยุงกายให้ลุกขึ้นได้โดยพลัน อธิบายว่า ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างนี้. สุชาตกุมารกล่าวธรรมแก่บิดาว่า ก็มือ เท้า กาย ศีรษะ ของคุณปู่ของผมย่อมไม่ปรากฏ แต่คุณพ่อร้องไห้ที่สถูปดิน ที่สร้างไว้บรรจุกระดูกของคุณปู่อย่างเดียว เป็นผู้ทรามปัญญา คือไม่มีปัญญาตั้งร้อยเท่า พันเท่า สังขาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 82
ทั้งหลายมีความแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป ผู้รู้แจ้งในข้อนั้น จะมีความร่ำไรไปทำไม.
บิดาของพระโพธิสัตว์ได้ฟังนั้นแล้ว จึงคิดว่า บุตรของเราเป็นบัณฑิต ได้ทำกรรมนี้เพื่อให้เราเข้าใจ เมื่อจะสรรเสริญบุตรว่า พ่อสุชาตเอ๋ย เราได้รู้แล้วว่า สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นธรรมดา ตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่เศร้าโศก คนมีปัญญาอันชื่อว่า สามารถขจัดความเศร้าโศกเสียได้ พึงเป็นเช่นกับเจ้านี่แหละ จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ราดด้วยน้ำมัน ได้ถอนขึ้นแล้วหนอซึ่งลูกศรคือ ความเศร้าโศก อันเสียบหทัยของบิดา บิดาผู้มีลูกศรอันถอนได้แล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว ดูก่อน มาณพ ต่อไปนี้บิดาจะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะฟังคำของเจ้า ชนเหล่าใดทีมีปัญญา มีความอนุเคราะห์ต่อมารดาบิดา ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังมารดาบิดาให้หายจากความเศร้าโศก เหมือนพ่อสุชาตะทำให้บิดาหายเศร้าโศก ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตํ ได้แก่ อันไฟคือความเศร้าโศกติดทั่วแล้ว คือลุกโพลงแล้ว. บทว่า สนฺตํ แปลว่า มีอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 83
บทว่า ปาวกํ แปลว่า ไฟ. บทว่า วารินา วิย โอสิญฺจํ แปลว่า เหมือนเอาน้ำราด. บทว่า สพฺพํ นิพฺพาปเย ทรํ ความว่า ให้ความกระวนกระวายแห่งจิตของเราทั้งหมดดับ. บทว่า อพฺพหี วต แปลว่า ถอนขึ้นแล้ว. บทว่า สลฺลํ ได้แก่ ลูกศรคือความโศก. บทว่า หทยนิสฺสิตํ ได้แก่ เป็นดังลูกศรอันแทงหัวใจ. บทว่า โสกปเรตฺสฺส ได้แก่ ถูกความโศกครอบงำ. บทว่า ปิตุโสกํ ได้เก่ ซึ่งความเศร้าโศกอันเกิดขึ้นปรารภบิดา. บทว่า อปานุทิ แปลว่า ได้ขจัดแล้ว บทว่า ตว สุตฺวาน มาณว ความว่า พ่อกุมาร เพราะได้ฟังคำของเจ้าแล้ว แต่บัดนี้ พ่อจึงไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้. บทว่า สุชาโต ปิตรํ ยถา ความว่า สุชาตกุมารนี้ให้บิดาของตนพ้นจากความโศก ฉันใด แม้ชนเหล่าอื่นก็ฉันนั้น ผู้อนุเคราะห์มีความอนุเคราะห์เป็นปกติ มีปัญญากระทำอย่างนั้น คือกระทำอุปการะแก่บิดาและชนเหล่าอื่น.
บิดาฟังคำของมาณพแล้ว เป็นผู้ปราศจากความโศก จึงสนานศีรษะ บริโภคอาหาร ประกอบการงาน ทำกาละแล้วได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะแก่ภิกษุเหล่านั้น. เมื่อจบสัจจะ ชนเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผลเป็นตัน. ในกาลนั้น สุชาตกุมาร ได้เป็นพระโลกนาถในบัดนี้แล.
จบ อรรถกถาโคณเปตวัตถุที่ ๘