พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายว่า การดับอกุศลทั้งหมดการดับอวิชชาเท่านั้นที่เป็นสัมมาปฎิปทา นอกจากนั้นแล้วเป็นมิจฉาปฎิปทาทั้งนั้น นี่เป็นธรรมส่วนละเอียดจริงๆ ที่จะรู้ว่าทุกวันที่มีชีวิตอยู่นี้ปฎิปทา คือ ทางดำเนินของชีวิตของแต่ละคนเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมาขณะใด ขณะที่ยังเห็นแล้วก็ชอบ แล้วก็มีความยึดมั่น และก็มีการกระทำกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการเกิดอีกและมีการแก่อีก การตายอีก ทั้งหมดเป็นมิจฉาปฎิปทา แต่ขณะใดซึ่งเป็นทางดับ ทางที่จะดับทั้งหมดเป็นสัมมาปฎิปทา เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ทุกท่านก็รู้ด้วยตัวเองว่า ขณะใดเป็นสัมมา ปฎิปทาขณะใดเป็นมิจฉาปฎิปทา และในวันหนึ่งๆ สัมมาปฎิปทามากหรือน้อย หรือว่ามิจฉาปฎิปทายังมากกว่า การที่จะดับสังสารวัฎฎ์ก็ยังต้องอีกนานกว่า ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคลที่จะรู้ได้ด้วยปัญญาของตนจริงๆ แม้แต่เพียงความคิดชั่วขณะก็ยังจะต้องรู้ว่าในขณะนั้นเป็นมิจฉาปฏิปทา หรือ สัมมาปฎิปทา
เพราะเหตุนี้ ท่านอาจารย์จึงย้ำเสมอว่า การศึกษาพระธรรม เป็นไปเพื่อการละ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขณะจิตส่วนใหญ่ของปุถุชนนั้นมีอกุศลเป็นพื้นและกุศลที่ได้กระทำกันนั้นก็ยังไม่พ้นที่จะเนื่องกับวัฏฏะอยู่มาก จึงยังคงเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อๆ ไปได้อีกแต่ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นเริ่มเข้าสู่หนทางแห่งการดับกิเลส ดับวัฏฏะ จึงเป็นสัมมาปฏิปทาจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังดำเนินไปบนปฏิปทาใดรู้ได้ในขณะนี้นี่เองทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอกุศล หรือ กุศลหลงลืมสติ หรือ สติเกิดเป็นเรา หรือ เป็นธรรมะ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ไม่รู้หรอกค่ะ
ขออนุโมทนาครับ