ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง สติปัฏฐาน ๔ กับมรรคมีองค์ ๘ ต่างก็เป็นโพธิปักขิยธรรมทั้งสิ้นความสัมพันธ์ระหว่างสติปัฏฐาน ๔ กับมรรคมีองค์ ๘ เป็นอย่างไรครับผม
ท่านอาจารย์ สติปัฏฐาน เป็นเบื้องแรก การที่สภาพธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับอยู่แล้ว สติไม่ได้ระลึกลักษณะหนึ่งลักษณะใดของสภาพธรรม ก็ไม่มีทางที่โพธิปักขิยธรรมอื่น จะเจริญขึ้น หรือเกิดขึ้นได้ ทรงแสดงสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลเช่นขณะนี้นะคะ ที่กำลังเห็น ถ้าเป็นสติปัฏฐานจริงๆ จะรู้ความต่างของความคิด และสิ่งที่ปรากฏทางตาขอให้พิจารณามากๆ คิดไตร่ตรองจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีแน่นอนเพราะเหตุว่ากระทบกับจักขุประสาทจึงได้ปรากฏ
แต่เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้วความคิดนึก ยึดถือเอาคน วัตถุสิ่งต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏทางตามาทรงจำไว้ว่าเป็นเรื่องราวต่างๆ ในความคิด ไม่ใช่สิ่งที่กำลังเห็นเลยความทรงจำของเราที่จำไว้ว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของนั้น ลบเลือนไปได้ยากจนกว่าปัญญาจะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งส่วนความจำและ ความคิด ต้องรู้ทางมโนทวารจึงจะปรากฏเป็นเรื่องราว เป็นโลกที่สับสน ยากที่จะแยกออก
ฉะนั้นจึงต้องรู้ความต่างของบัญญัติและปรมัตถ์ไม่ว่าจะเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม (สติปัฏฐาน ๔) ต้องทราบว่า สิ่งที่เป็นปัฏฐาน เป็นเพียงเครื่องเตือนให้ระลึกสภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรมทั้งหมดเพียงเพื่อรู้ว่า เป็นธรรมะ เท่านั้นเอง
ต้องศึกษาโดยละเอียด และสอดคล้องกับสูตรอื่นๆ ด้วยเช่น "สัปปายสูตร"ที่ท่านพระสารีบุตรแสดงว่า อะไรเป็นสัปปายะ ที่สติปัฏฐานจะเกิดกล่าวไว้ว่า ลักษณะที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็คือสภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรมนั่นเอง
ถ้าไม่รู้ความต่างของปรมัตถธรรมกับบัญญัติ ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญ ถ้าไม่คิด จะมีบัญญัติไหม ฉะนั้น เริ่มรู้จักว่า คิดเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งทางตา ยากที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตนทางใจที่คิด ก็ยากที่จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน กว่าจะอบรมเจริญปัญญา จนถึงระดับที่สามารถจะรู้ทั่วว่า ทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน แต่ต้องเป็นธรรมะ คือ ผู้ที่รู้สัจจธรรม
สนทนธรรมที่วัดบ้านปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา
สาธุ
ขอเรียนถามว่า สัปปายสูตร ที่กล่าวถึงในกระทู้ คือ
ปฐมสัปปายสูตร - ทุติยสัปปายสูตร
ใช่หรือไม่ หากไม่ใช่ พระสูตรดังกล่าวมีข้อความว่าอย่างไร
ขอบพระคุณครับ
เนื่องจากสัปปายะสูตรในพระไตรปิฎกมีหลายสูตร ที่ท่านพระสารีบุตรแสดงก็อีกสูตรหนึ่งซึ้งมีเนื้อหาคล้ายกัน ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
สงสัยว่าทำไมโพธิปักขิยธรรม ๓๗ต้องเริ่มต้นด้วยสติปัฏฐาน4จากข้อความข้างล่างทำให้พอจะเข้าใจคะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ
โพธิปักขิยธรรม ๓๗
สตฺตตึส (สามสิบเจ็ด) + โพธิ (การตรัสรู้) + ปกฺขิย (ฝักฝ่าย) + ธมฺม (ธรรม)
สภาพธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ๓๗ ประการ หมายถึง การอบรมวิปัสสนาภาวนา เริ่มตั้งแต่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ขณะที่เริ่มอบรมสติปัฏฐาน ก็เป็นการเจริญสัมมัปปธานเป็นการเจริญอิทธิบาท เป็นการเจริญอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และเป็นการเจริญอิทธิบาท เป็นการเจริญมรรคไปพร้อมๆ กัน แต่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องอบรมปัญญาเป็นเวลายาวนานหลายภพชาติ (จิรกาลภาวนา) จนกว่า โพธิปักขิยธรรมทั้ง๓๗ ประการจะบริบูรณ์ มัคคจิตจึงเกิดขึ้นพร้อมกับการประหาณกิเลสเป็นสมุจเฉทตามลำดับขั้น
อนุโมทนาคะ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ คุณ JANYAPINPARD สำหรับรายละเอียด เรื่อง โพธิปักขิยธรรม ๓๗.
ขออนุโมทนาค่ะ . . .
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ