พรหมลูกฟักหรือพรหมที่มีแต่รูป เกิดจากนามปฏิสนธิหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พรหมลูกฟัก หรืออสัญญสัตตาพรหมคือพรหมที่มีเพียงแต่รูปไม่มีนามธรรมคือจิต เจตสิกเกิดขึ้นเลยครับ ซึ่งเกิดจากบุคคลที่อบรมสมถภาวนาจนได้ปัญจมฌาน แต่เป็นผู้ที่ปรารถนาที่จะไม่มีนามธรรมเพราะเห็นโทษ ว่า ควาคิด ความวุ่นวาย ความเดือดเนื้อร้อนใจเกิดขึ้นได้เพราะมีนามธรรม จึงอบรมจิตให้สงบโดยเบื่อหน่ายต่อนามธรรม (สัญญาวิราคะ) เมื่อฌานไม่เสื่อมหลังจากที่ตายแล้ว ทำให้มีรูปปฏิสนธิ คือเมื่อจุติจิตเกิด เคลื่อนจากความเป็นมนุษย์แล้ว เกิดเป็นพรหมที่เป็นอสัญญสัตตาพรหม เป็นเพียงรูปปฏิสนธิเท่านั้น แต่ไม่ใช่นามปฏิสนธิครับ จึงไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเลยครับ มีแต่เพียงรูปเท่านั้นครับ ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นตายด้วยอิริยาบถใด อสัญญาสัตตาพรหมก็มีอิริยาบถนั้นไปตลอดอายุซึ่งมีอายุ ๕๐๐ กัป ซึ่งในขณะนั้นไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเลย แต่ก็อยู่ด้วยกำลังของกุศลที่เป็นฌานเหมือนกับลูกศรที่ยิงออกไปหมดแรงเมื่อไหร่ก็ตกลงมา เมื่ออสัญญสัตตาพรหมจะจุติ ก็จุติด้วยรูปจุติ เช่นกัน ไม่ใช่นามครับ
อสัญญสัตตาพรหม เป็นภูมิที่ไม่มีนาม จึงไม่สามารถจะฟังพระธรรมอบรมปัญญาได้ เพราะไม่มีการเกิดขึ้นของจิตเห็น จิตได้ยิน เลยครับ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านจะไม่เกิดในภพภูมินี้เลยครับ
และคำถามที่ว่า
เมื่อมีแต่รูปธรรม อยากทราบว่า แล้วนามธรรม (จิต เจตสิก) ของเขาในขณะนั้น อยู่ที่ไหน
สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ดังนั้น การเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมเป็นปัจจัยให้เกิดแต่เพียงรูปธรรมเท่านั้น ดังนั้น ไม่มีเหตุปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นของนามธรรม เพราะด้วยกำลังของฌานและการเห็นโทษของนามธรรม จึงไม่มีเหตุปัจจัยให้นามธรรมเกิดขึ้นนั่นเองครับ ดังนั้น นามธรรมไม่ไ่ด้อยู่ที่ไหน แต่ไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นนั่นเองครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
อสัญญสัตตาพรหม ๑ [ทีฆนิกาย]
อสัญญสัตตาพรหมภูมิ?
อสัญญสัตตาภูมิ
อสัญญสัตตาพรหม ๒ [ขุททกนิกาย]
พระพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่องของการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ว่า ไม่ใช่ว่าสภาพธรรมมีที่อยู่ มีที่เก็บ รอให้เกิด พอเกิดก็ออกมาจากที่เก็บฉันใด นามธรรมคือจิต เจตสิก ไม่ใช่ว่ามีอยู่แล้ว แล้วก็ค่อยเกิดตอนมีเหตุปัจจัยให้มีขึ้นครับ แต่ในความเป็นจริง สภาพธรรมไม่ได้เกิดอยู่แล้ว แต่มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เช่น เสียงพิณ ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะอาศัยพิณ สายพิณ คนดีดพิณ และการดีดพิณ เสียงจึงเกิดขึ้น แต่ก่อนหน้านั้นเสียงไม่มี เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นนั่นเองครับ
โดยนัยเดียวกัน อสัญญสัตตาพรหม เกิดแล้วมีแต่รูปเท่านั้นที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีเหตุปัจจัยของนามธรรมที่จะเกิดขึ้น นามธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ไหน เพียงแต่ไม่เกิดขึ้นครับ
การศึกษาธรรมเป็นเรื่องละเอียดและแสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่มีนาม ไม่ต้องทุกข์กายและใจอะไรเลย เพราะไม่มีจิต เจตสิก ไม่มีนามธรรม แต่ก็ไม่ใช่หนทางดับกิเลส เมื่อหมดกรรมตามกำลังของฌานแล้วก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์อบาย ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่อบรมฌานที่เป็นสัญญาวิราคะถึงความเป็นอสัญญสัตตาพรหมซึ่งยังมีความเห็นผิดและเห็นโทษของนามเท่านั้น ยังไม่เห็นโทษของรูป จึงยังมีความติดข้องในรูปอยู่ ไม่สามารถพ้นไปจากวัฏฏะได้ครับ
หนทางในการอบรมปัญญา จึงเป็นการเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง โดยไม่ใช่เป็นเพียงการเห็นโทษของนามธรรมที่ทำให้ทุกข์ แต่เข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้ที่มีในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก สี เสียง เป็นต้น เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา การเข้าใจเช่นนี้ย่อมสามารถละกิเลสและเป็นหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องอันนำไปสู่การไม่เกิดอีกครับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมครับ
ขออนุโมทนาที่่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พรหมบุคคล ที่มีแต่รูปธรรรมเท่านั้นไม่มีนามธรรม คือจิต เจตสิก เกิดขึ้นเลยนั้น คืออสัญญสัตตาพรหม [พรหมที่ไม่มีนามธรรม หมายความว่าจิต และเจตสิกทั้งปวง คือ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เป็นต้น ไม่เกิดขึ้นเลยมีแต่รูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป] เป็นพรมหบุคคลที่เกิดในรูปพรหมภูมิชั้นที่ ๑๑ คืออสัญญสัตตาภูมิ อสัญญสัตตาพรหมเป็นผู้ได้ปัญจมฌานซึ่งไม่ปรารถนาที่จะมีนามธรรมเพราะหน่ายในนามธรรม เป็นผู้คลายความพอใจในนามธรรม เมื่อฌานไม่เสื่อมก็เป็นเหตุให้รูปปฎิสนธิเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมซึ่งมีแต่รูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น (มีรูปขันธ์ เพียงขันธ์เดียว)
เมื่อเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม จึงไม่มีจิต เจตสิก เกิดขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยที่จะให้จิต เจตสิก เกิดขึ้นนั่นเอง แต่เมื่ออสัญญสัตตาพรหมหมดอายุที่จะดำรงอยู่ในอสัญญสัตตาพรหมภูมิ ก็ย่อมจะมีปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม) ได้ เป็นผู้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ยังไม่พ้นไปจากความเป็นอย่างนี้ไปได้ และในขณะที่ดำรงอยู่ในอสัญญสัตตาพรหมภูมิ ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้นามธรรม คือจิต และเจตสิก เช่น สติ ปัญญา ศรัทธา เป็นต้น เกิดขึ้นได้เลยจนกว่าจะได้เกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาต่อไปก็จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมเลย ย่อมไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา ตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อันเนื่องมาจากยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลยนั้น สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือกุศลธรรมธรรมที่ดีงามประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เรื่องพรหมบุคคล เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ขณะนี้พวกเราได้เกิดในภูมิมนุษย์ซึ่งเป็นภูมิที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญกุศลได้ทุกประการไม่มีเว้นเลย และยังเป็นยุคที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งในชีวิตที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ไม่ควรละเลยโอกาสที่มีค่าอย่างสูงสุดนี้ ดังข้อความตอนหนึ่ง จากอักขณสูตร ดังนี้ครับ
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 454
"พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย"
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นประโยชน์มากครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณผเดิมและคุณคำปั่นด้วยครับ
ถ้าไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้นทุกข์ค่ะ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
(สมฺมเทว สยเมว จ อภิพุชฺฌิตพฺพธมฺมสฺส พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุทฺโธ)
สวัสดีครับ, คุณเนเตอร์ คุณผเดิม คุณคำปั่น และคุณวันชัย
ขอสนทนาด้วยนะครับ.
๑. พรหมลูกฟัก เกิดจากรูปปฏิสนธิครับ.
กรรมในอดีตเป็นปัจจัยหลักในการนำเกิด ไม่ใช่นามในปัจจุบันนำเกิดนะครับ ต้องเข้าใจอย่าสับสนไปว่า นามในปัจจุบันปฏิสนธิขณะเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้เกิดวิบาก เด็ดขาด เพราะนามในปฏิสนธิขณะเป็นวิบากปัจจัย ไม่ใช่นานักขณิกกัมมปัจจัยครับ กล่าวอีกสำนวนหนึ่ง ว่า นามในขณะปฏิสนธิ เป็นผลของกรรมในอดีตอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่นานักขณิกกรรมปัจจัยครับ, กรรมในอดีตที่ให้ผลปฏิสนธิเท่านั้น เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิรูปหรือนามหรือทั้งนามทั้งรูป ตามแต่จะยังเหลือตัณหาในสิ่งใด ถ้ากรรมอื่นไม่ตัดรอนก็เกิดสิ่งนั้น ครับ.
๒. ส่วนนามของพรหมลูกฟักนั้น ไม่มีครับ, เพราะข่มตัณหาในนามธรรมทั้งปวงไว้ด้วยปัญจมฌานแล้ว.
ต้องไม่ลืมที่ทรงตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทุกขสัจจนิทเทส ว่า "สมุทัย คือเหตุเกิดเป็นอย่างไร? คือ ตัณหา ที่ทำให้เกิดภพใหม่ เป็นความติดข้อง เพลิดเพลิน ยินดียิ่งในทุกข์นั้นๆ " เป็นต้น. จะเห็นได้ว่าพรหมลูกฟักไม่มีตัณหาด้วยวิกขัมภนปหานแบบปัญจมฌาน ทำให้นามอุปัตติภพใหม่ มีไม่ได้ครับ.
ขอให้พวกเรา หมดทั้งนามและรูป เพราะสำรอกตัณหาในธรรมทั้งปวงในเร็ววันครับ.
อนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาให้รายละเอียดได้ชัดเจนให้ผมหายสงสัยครับ
เรียน เราเป็นผู้ปฏิบัติใหม่และเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกที่เว็บไซต์นี้ ขอคารวะผู้อาวุโสทุกๆ ท่าน ถ้าจะกรุณานวกสมาชิก โปรดไขข้อข้องใจให้ด้วยครับ คือเราอยากทราบว่า ถ้าทำสมาธิจนบรรลุผ่านฌานแต่ละขั้น ตั้งแต่ฌาน ๑ จนถึงฌาน ๘ มรรคผลแห่งฌานจะทำให้เมื่อเสียชีวิตแล้วจะได้ไปจุติอยู่ในภพภูมิใดบ้าง จะรอฟังคำตอบจากท่านผู้อาวุโสจากเว็บ และขอขอบพระคุณในความกรุณาที่ช่วยให้ความรู้ด้วยเป็นอย่างยิ่ง/ Sahachart/4 ก.พ. 2557/00.10 a.m.
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ได้ความรู้เรื่องพรหมลูกฟัก
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ