[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 326
อรรถกถาสูตรที่ ๙
ประวัติพระปุณณมันตานีบุตรเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 326
อรรถกถาสูตรที่ ๙
ประวัติพระปุณณมันตานีบุตรเถระ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้.
คำว่า ปุณณมันตานีบุตร คือพระเถระชื่อว่า ปุณณะ โดยชื่อ แต่ท่านเป็นบุตรของนางมันตานีพราหมณี (จึงชื่อว่า ปุณณมันตานีบุตร) ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ก่อนที่พระทศพลพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติท่านปุณณะบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงหงสวดี ในวันขนานนามท่าน พวกญาติขนานนามว่า โคตมะ ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท เป็นผู้ฉลาดในศิลปศาสตร์ทั้งปวง มีมาณพ ๕๐๐ เป็นบริวาร เที่ยวไป จึงพิจารณาไตรเพทดู ก็ไม่เห็นโมกขธรรมเครื่องพ้น คิดว่า ธรรมดาไตรเพทนี้เหมือนต้นกล้วย ข้างนอกเกลี้ยงเกลาข้างในหาสาระมิได้ การถือไตรเพทนี้เที่ยวไป ก็เหมือนบริโภคแกลบ เราจะต้องการอะไรด้วยศิลปะนี้ จึงออกบวชเป็นฤาษี ทำพรหมวิหารให้บังเกิด เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมก็จักเข้าถึงพรหมโลก ดังนี้ จึงพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ ไปยังเชิงเขา บวชเป็นฤาษีแล้ว ท่านมีชฏิล ๑๘,๐๐๐ เป็นบริวาร ท่านทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฏิลเหล่านั้นด้วย ชฏิลเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน บำเพ็ญจนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทุกรูป.
เมื่อกาลเป็นเวลานานไกลล่วงไป ในเวลาที่โคตมดาบสนั้น เป็นคนแก่ พระปทุมุตตระทศพลก็ทรงบรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 327
ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร ทรงอาศัยกรุงหงสวดีประทับอยู่ วันหนึ่งพระทศพลนั้น ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอรหัตตูปนิสัยของบริษัทโคตมดาบส และความปรารถนาของโคตมดาบส (ที่ปรารถนาว่า ขอเราพึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก ในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้จะทรงบังเกิดในกาลภายหน้าเถิด) จึงชำระสรีระแต่เช้าตรู่ ถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง เสด็จไปโดยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก ในเมื่ออันเตวาสิกของโคตมดาบส ไปเพื่อแสวงหาผลหมากรากไม้ในป่า ไปประทับยืน ที่ประตูบรรณศาลาของโคตมดาบส ฝ่ายโคตมดาบสแม้ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว เห็นพระทศพลมาแต่ไกลเทียวก็ทราบได้ว่า บุรุษผู้นี้ปรากฏ น่าจะเป็นคนพ้นโลกแล้ว เหมือนความสำเร็จแห่งสรีระของพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยจักกลักษณะ หากครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หากออกบวชก็จักเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้มีกิเลสดุจหลังคาเปิดแล้ว ดังนี้ จึงถวายอภิวาทพระทศพล โดยการพบครั้งแรกเท่านั้น ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดมาประทับทางนี้ ปูนลาดอาสนะถวายแล้ว พระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรมแก่โคตมดาบส ขณะนั้น พวกชฏิลเหล่านั้น มาด้วยหมายว่า จักให้ผลหมากรากไม้ในป่าที่ประณีตๆ แก่อาจารย์ ส่วนที่เหลือจักบริโภคเอง ดังนี้ เห็นพระทศพลประทับนั่งบนอาสนะสูง แต่อาจารย์นั่งบนอาสนะต่ำ ต่างสนทนากันว่า พวกเราคิดกันว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่ยิ่งกว่าอาจารย์ของเรา แต่บัดนี้ปรากฏว่า บุรุษนี้ผู้เดียวให้อาจารย์ของเรานั่งบนอาสนะต่ำ ตนเองนั่งบนอาสนะสูง มนุษย์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 328
นี้ทีจะเป็นใหญ่หนอ ดังนี้ ต่างถือตะกร้าพากันมา โคตมดาบสเกรงว่า ชฏิลเหล่านี้ จะพึงไหว้เรา ในสำนักพระทศพล จึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลายอย่าไหว้เรา บุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก เป็นผู้ควรที่ท่านทุกคนพึงไหว้ได้ ท่านทั้งหลายจงไหว้บุรุษผู้นี้ ดาบสทั้งหลายคิดว่า อาจารย์ไม่รู้คงไม่พูด จึงถวายบังคมพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า หมดทุกองค์ โคตมดาบสกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย เราไม่มีโภชนะอย่างอื่น ที่สมควรถวายแด่พระทศพล เราจักถวายผลหมากรากไม้ในป่านี้ จึงเลือกผลาผลที่ประณีตๆ บรรจงวางไว้ในบาตรของพระพุทธเจ้า ถวายแล้ว พระศาสดาเสวยผลหมากรากไม้ในป่าแล้ว ต่อจากนั้น แม้ดาบสเองกับอันเตวาสิกจึงฉัน พระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว ทรงพระดำริว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ จงพาภิกษุแสนรูปมา ในขณะนั้น พระมหาวิมลเถระอัครสาวกรำลึกว่า พระศาสดาเสด็จไปที่ไหนหนอ ก็ทราบว่า พระศาสดาทรงประสงค์ให้เราไป จึงพาภิกษุแสนรูปไปเฝ้าถวายบังคมอยู่ พระดาบสกล่าวกะอันเตวาสิกว่า พ่อทั้งหลาย พวกเราไม่มีสักการะอื่น (ทั้ง) ภิกษุสงฆ์ก็ยืนอยู่ลำบาก เราจักปูลาดบุปผาสนะถวายภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านทั้งหลาย จงไปนำเอาดอกไม้ที่เกิดทั้งบนบก ทั้งในน้ำมาเถิด ในทันใดนั้นเอง ดาบสเหล่านั้น จึงนำเอาดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสี และกลิ่น มาจากเชิงเขาด้วยอิทธิฤทธิ์ ปูลาดอาสนะทั้งหลาย โดยนัยที่กล่าวไว้ ในเรื่องของพระสารีบุตรเถระ นั่นแล การเข้านิโรธสมาบัติก็ดี การกั้นฉัตรก็ดี ทุกเรื่อง พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว นั่นแล
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 329
ในวันที่ ๗ พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงเห็นดาบสทั้งหลาย ยืนล้อมอยู่ จึงตรัสเรียก พระสาวกผู้บรรลุเอตทัคคะ ในความเป็นพระธรรมกถึก ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หมู่ฤาษีนี้ ได้กระทำสักการะใหญ่ เธอจงกระทำอนุโมทนาบุปผาสนะ แก่หมู่ฤาษีเหล่านี้ ภิกษุนั้น รับพระพุทธดำรัสแล้ว พิจารณาพระไตรปิฎกกระทำอนุโมทนา เวลาจบเทศนาของภิกษุนั้น พระศาสดาทรงเปล่งพระสุระเสียง ดุจเสียงพรหม แสดงธรรมด้วยพระองค์เอง เมื่อจบเทศนา (เว้น) โคตมดาบสเสีย ชฏิล ๑๘,๐๐๐ รูปที่เหลือ ได้บรรลุพระอรหัต ส่วนโคตมดาบสไม่อาจทำการแทงตลอด โดยอัตตภาพนั้น จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุผู้ที่แสดงธรรมก่อนนี้ ชื่อว่าอย่างไร ในศาสนาของพระองค์ พ.ตรัสว่า โคตมดาบส ภิกษุนี้เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของเรา โคตมดาบสหมอบแทบบาทมูล กระทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งบุญกุศลที่ข้าพระองค์ทำมา ๗ วันนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคต เหมือนดังภิกษุรูปนี้ พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาของโคดมดาบสนั้น สำเร็จโดยหาอันตรายมิได้แล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดแห่งแสนกัป ในอนาคตกาลพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระองค์ แล้วตรัสกะดาบสผู้บรรลุพระอรหัตว่า เอถ ภิกฺขโว จงเป็นภิกษุมาเถิด
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 330
ดังนี้ ดาบสทุกรูปมีผมและหนวดอันตรธานไป ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเช่นกับพระเถระ ๑๐๐ พรรษาพระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จกลับพระวิหาร ฝ่ายโคตม-ดาบสก็บำรุงพระตถาคตจนตลอดชีวิต บำเพ็ญแต่กัลยาณกรรมตามกำลัง เวียนว่ายอยู่ในเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แสนกัป ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จึงมาเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อ โทณวัตถุ ไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ์ ในวันขนานนามของท่าน พวกญาติขนานนามท่านว่า ปุณณมาณพ
ครั้งเมื่อพระศาสดาทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จดำเนินมาโดยลำดับ เข้าอาศัยอยู่ยังกรุงราชคฤห์ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ มายังกรุงกบิลพัสดุ์ ให้ปุณณมาณพหลานชายของตนบวชแล้ว รุ่งขึ้นจึงมาเฝ้าพระทศพล ถวายบังคมแล้ว ก็ทูลลาไปยังฉัททันตสระ เพื่อพักผ่อนกลางวัน ฝ่ายพระปุณณมันตานีบุตรมาเฝ้าพระทศพล พร้อมกับพระอัญญาโกณฑัญญเถระผู้ลุง คิดว่า เราจักทำกิจแห่งบรรพชิตของเรา ให้ถึงที่สุดแล้ว จึงจักไปเฝ้าพระทศพล ดังนี้ จึงถูกละไว้ในกรุงกบิลพัสดุ์ นั่นเอง กระทำโยนิโสมนสิการกัมมัฏฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต มีกุลบุตรออกบวชในสำนักของท่านถึง ๕๐๐ รูป พระเถระเองได้กถาวัตถุ ๑๐ จึงสอนแม้แก่บรรพชิตเหล่านั้น ด้วยกถาวัตถุ ๑๐ บรรพชิตเหล่านั้น ดำรงอยู่ในโอวาทของท่าน ก็ได้บรรลุพระอรหัตทุกรูปเทียว ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่า กิจแห่งบรรพชิตของตนถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 331
กิจของพวกกระผมและผู้ได้มหากถาวัตถุ ๑๐ ถึงที่สุดแล้ว เป็นสมัยที่พวกกระผมจะเฝ้าพระทศพล พระเถระฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงคิดว่า พระศาสดาทรงทราบว่า เราได้กถาวัตถุ ๑๐ เมื่อเราแสดงธรรมก็แสดงไม่พ้นกถาวัตถุ ๑๐ เมื่อเราไปภิกษุทั้งหมดนี้ ก็จะแวดล้อมไป ก็การไปด้วยคลุกคลีด้วยหมู่คณะอย่างนี้ เข้าเฝ้าพระทศพลของเรา ก็ไม่ควร ภิกษุเหล่านี้จงไปเฝ้าก่อน ดังนี้จึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า อาวุโส ท่านทั้งหลายจงเดินล่วงหน้าไปเฝ้าพระตถาคต และจงกราบพระบาทของพระองค์ ตามคำของเรา แม้เราก็จักไปตามทางที่ท่านไปแล้ว ดังนี้ ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปล้วนอยู่ในรัฐที่เป็นชาติภูมิเดียวกับพระทศพล ทั้งหมดเป็นพระขีณาสพ ได้กถาวัตถุ ๑๐ หมดทุกรูป ยินดียิ่งซึ่งโอวาทของอุปัชฌาย์ของตน ไหว้พระเถระแล้ว เที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงหนทางถึง ๖๐ โยชน์จนถึงพระเวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทของพระทศพลแล้วพากันนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง
ก็นี่เป็นอาจิณณวัตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ที่จะทรงชื่นชอบตอบกับอาคันตุกะภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงกระทำปฏิสันถาร ด้วยมธุรวาจากับภิกษุเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า กจฺจิ ภิกฺขเว ขมนียํ พอทนได้หรือภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า พวกเธอมาแต่ไหน เมื่อภิกษุเหล่านั้น ทูลตอบว่า จากชาติภูมิแล้ว จึงตรัสถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้เป็นเพื่อนพรหมจรรย์ชาวชาติภูมิกัน ได้สรรเสริญใครหนอแลอย่างนี้ว่า ตนเองก็ปรารถนาน้อยด้วย สอน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 332
ภิกษุทั้งหลาย เรื่องปรารถนาน้อยด้วย ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ท่านชื่อว่า ท่านปุณณมันตานีบุตร พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรได้ฟังถ้อยคำนั้น จึงเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพบพระเถระครั้งนั้น พระศาสดาได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ไปสู่กรุงสาวัตถีพระปุณณเถระได้ยินว่า พระทศพลเสด็จมากรุงสาวัตถี จึงคิดว่าเราจักเฝ้าพระศาสดา จึงออกเดินไปจนทันเฝ้าพระตถาคต ที่ภายในพระคันธกุฎีทีเดียว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท่าน พระเถระสดับธรรมแล้ว ถวายบังคมพระทศพลแล้ว ไปยังป่าอันธวัน เพื่อหลีกเร้นจึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง แม้พระสารีบุตรเถระทราบว่าท่านมา มองหาทิศทางแล้วเดินไปกำหนดโอกาส เข้าไปยังโคนไม้นั้น แล้วสนทนากับพระเถระ ถามถึงลำดับแห่งวิสุทธิ ๗ แม้พระเถระก็พยากรณ์ที่ท่านถามแล้ว ถามเล่า ถวายท่าน พระเถระทั้งสองนั้น ต่างอนุโมทนาสุภาษิตของกันและกัน ต่อมาภายหลังพระศาสดา ทรงประทับนั่ง ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุเป็นธรรมกถึกแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๙