ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ ฟังธรรมอย่างไรให้เข้าใจ]
โดย วันชัย๒๕๐๔  7 ก.ค. 2558
หัวข้อหมายเลข 26742

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เช้าวันที่ ๒ ของการเดินทางมาสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทางท่านเจ้าภาพ ได้พาคณะฯ ออกไปรับประทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารภายนอกโรงแรม เป็นอาหารเช้ายอดนิยมของชาวหาดใหญ่ คือ ติ่มซำ และ บักกุ๊ดเต๋ (หมูตุ๋นยาจีน) ในวิกิพีเดีย บรรยายไว้ว่า "..บักกุ๊ดเต๋ (อังกฤษ: Bak kut teh; Hokkien: 肉骨茶) เป็นน้ำแกงแบบจีนที่นิยมรับประทานในมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน และบางเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น บาตัมในอินโดนีเซีย และอำเภอหาดใหญ่และภูเก็ตในไทย ชื่อบักกุ๊ดเต๋แปลตามตัวอักษรได้ว่า "กระดูกหมูและน้ำชา" [1]

โดยทั่วไปจะประกอบด้วยซี่โครงหมูอ่อนตุ๋นในน้ำต้มสมุนไพรและเครื่องเทศ (ได้แก่ โป๊ยกั้ก อบเชย กานพลู ตังกุย เมล็ดยี่หร่า และกระเทียม) เป็นเวลาหลายชั่วโมง[2] อาจมีส่วนประกอบอื่นเพิ่มเติมอย่างเครื่องในสัตว์ เห็ดชนิดต่างๆ ผักกาด เต้าหู้แห้ง หรือเต้าหู้ทอด และอาจมีสมุนไพรจีนอื่นๆ เช่น yu zhu (เหง้าของ Solomon's Seal) และ ju zhi (ผล buckthorn) ที่ทำให้น้ำแกงมีรสหวานมากขึ้นและเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย ระหว่างปรุงจะเติมซีอิ๊วขาวและดำลงในน้ำแกง มีผักชีสับหรือหอมเจียวเป็นเครื่องตกแต่ง.."

ในตอนที่ ๒ ของการนำเสนอภาพและข้อความการสนทนาธรรม จากการเดินทางมาสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ตามคำเชิญของชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ ขออนุญาตทุกท่าน นำความการสนทนาในช่วงเช้าของวันที่ ๒๕ มิถุนายน ซึ่งเป็นการสนทนาวันสุดท้าย เป็นช่วงที่ท่านอาจารย์ได้เมตตากล่าวถึงการฟังธรรมอย่างไรให้เข้าใจ ที่มักถูกถามโดยผู้เริ่มฟังพระธรรมใหม่ๆ หลายท่าน ซึ่งท่านอาจารย์ได้เมตตากล่าวไว้โดยละเอียด มีความไพเราะ เกื้อกูลแก่ทุกๆ ท่านอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงถอดความลงไว้ทั้งหมดโดยละเอียด โดยไม่ได้ตัดทอนเลย

ท่านอาจารย์ สำหรับวันนี้ เป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะได้สนทนาธรรมกับผู้ฟังที่สนใจที่หาดใหญ่ ก็เป็นโอกาสที่จะได้สนทนาจริงๆ ทุกเรื่องของธรรมะ ที่ข้องใจ เพราะเหตุว่า การศึกษาธรรมะ เพียงอ่านพระไตรปิฎกด้วยตนเอง หรือว่า ฟังด้วยตนเอง จะรู้ได้เลย แต่ละคน "คิดเอง" ตามด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่ง "ไม่ตรง" เพราะเหตุว่า ธรรมะ เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง ควรแก่การที่จะได้สนทนา เพื่อ "ความเข้าใจ" จริงๆ

เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาแล้ว ก็คือว่า พูดเรื่องธรรมะ โดยที่ว่า ไม่ว่าใครที่ไหนก็ตาม ถ้ายังไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่มีประโยชน์เลย ที่จะไปอ่าน ไม่ว่าจะเป็นตำรากี่เล่ม พระอภิธรรม พระสูตร พระวินัย แต่ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!! ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะไม่เข้าใจเลย ศึกษาไปเท่าไหร่ ธรรมะอยู่ที่ไหน? ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่มีจริงๆ นานแสนนานมาแล้ว พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ความจริง ให้รู้ว่า แม้เดี๋ยวนี้ หรือ เมื่อไหร่ก็ตาม ในอดีต และ ข้างหน้า ก็คือ สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้!!!

เพราะฉะนั้น ถ้าจะศึกษาธรรมะ จริงๆ เริ่มจากการที่รู้ว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มี แล้วไม่เคยรู้ความจริง แล้วใครจะให้เข้าใจได้? นอกจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว

เพราะฉะนั้น การฟัง มีความเข้าใจเรื่องสิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ไม่พอ เพราะเหตุว่า เป็นแค่ "ความคิด" แต่ว่า สิ่งนี้ก็เกิดดับ โดยที่ว่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงสิ่งใดในพระไตรปิฎก มีเดี๋ยวนี้ เช่น "เห็น" มี , "ชอบ" มี , "โกรธ" มี , "ผูกโกรธ" มี , "ริษยา" มี , "ความกรุณา" มี , ทุกอย่าง มี แต่ไม่เคยรู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็น ธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น แต่ละคำนี่ ต้องตรง ธรรมะ เป็นใครไม่ได้ ธรรมะ ต้องเป็น ธรรมะ ธรรมะแต่ละหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับไป ใครไปหลงยึดถือ ว่าเป็นเรา นานแสนนานมาแล้ว ก็ด้วย "ความไม่รู้" และ จะไม่รู้อย่างนี้ไปทุกชาติ ถ้าขณะที่กำลังฟัง ยังไม่เข้าใจว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้!!! แล้วก็ ทุกคำที่ได้ฟัง เป็นวาจาสัจจะ จริงไหม? ที่จะกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง? เพราะ ขณะเห็น แล้วจะไปรู้อย่างอื่น และ อย่างอื่นก็ยังไม่ปรากฏ แต่ว่า กำลังเห็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่า จะฟังว่า "เห็น" เกิด แล้วก็ดับไป แต่ก็ยังมี "เห็น" ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ว่าเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ "ได้ยิน" เช่นเดียวกัน "คิดนึก" เช่นเดียวกัน สุข ทุกข์ เหตุการณ์ทั้งหมด จะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมะ ซึ่งเป็น "ธาตุรู้" เกิดขึ้น โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย

และ "สภาพที่ไม่รู้" เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่เคยรู้ว่า แท้ที่จริง ก็เป็นแค่ธรรมะ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ของตน เกิดแล้ว จะเป็นเรา จะเป็นเขา จะเป็นใคร ก็ไม่ได้!!! ทุกอย่าง "แข็ง" คือต้องเป็น "แข็ง" , "เสียง" ต้องเป็น "เสียง" , "กลิ่น" ต้องเป็น "กลิ่น" , ทุกอย่าง เป็นจริงแต่ละหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะให้เด็ก โรงเรียน ได้ยิน ได้ฟัง เขาก็สามารถพิจารณา เช่นเดียวกับผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้ ได้!!!

ถ้าถามเขาว่า เดี๋ยวนี้ มี "เห็น" ไหม? เขาก็ต้องตอบว่า "มี" แล้วก็ คำพูดธรรมดา ว่า "เห็น" ไม่เกิด จะมี "เห็น" ไหม? ทุกคนก็ต้องตรง ตรงไปตรงมาที่สุด ก็ไม่มี และ "เห็น" ดับแล้ว แล้ว "เห็น" อยู่ที่ไหน? ก็ถามเขา ก็ค่อยๆ คิด เหมือนทุกคน ไม่ว่าวัยไหน

เพราะฉะนั้น อยู่ที่เรื่องที่ว่า ผู้ใหญ่ เป็นผู้นำเด็ก ไม่ใช่เกี่ยงให้เด็กไปศึกษา แล้วตัวเองก็ไม่รู้!!! แล้วเด็กจะเอาความรู้มาจากไหน? ถ้าไม่ใช่มาจากผู้ใหญ่ที่รู้ ไม่ใช่ว่า จะไปหาจากเด็กๆ ด้วยกัน แต่ต้องผู้ใหญ่นั่นเอง สังเกตุดูตามบ้าน ซึ่งผู้ปกครอง มารดา บิดา ญาติผู้ใหญ่ ท่านฟังธรรมะ เด็กฟัง ไม่จำเป็นต้องบังคับเขาเลย แต่เมื่อมีได้ยิน บ่อยๆ ชินหู บางคนก็ถามว่า โผฐฐัพพะ คือ อะไร? เพราะเขารู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา "รูป" ปรากฏทางหู "เสียง" ปรากฏทางจมูก "กลิ่น" ปรากฏทางลิ้น "รส" และ โผฐฐัพพะ คือ อะไร? ได้ยินคำใหม่ เมื่อถาม เขาก็รู้ได้ ว่าหมายความถึง สิ่งที่กระทบกาย แต่มันมีหลายอย่าง ไม่เหมือน หู กับ เสียง ตา กับ สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ทางกาย "แข็ง" ก็มีปรากฏ "เย็น" ก็มีปรากฏ "ร้อน" ก็มีปรากฏ "ตึง ไหว" ก็ปรากฏ ตั้ง ๓ เพราะฉะนั้น รวมเรียกเสียหนึ่ง ว่า "โผฐฐัพพะ" เพราะฉะนั้น เวลากระทบ ไม่ใช่พร้อมกันที่ปรากฏ แยกกันไม่ได้จริง แต่ปรากฏทีละหนึ่ง เช่น ขณะที่ "ร้อน" ปรากฏ "แข็ง" ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เป็น โผฐฐัพพะ

ด้วยเหตุนี้ เรามีคำอธิบาย ที่สามารถจะให้เด็ก เริ่มเข้าใจ สิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปบีบคั้น ให้เขาต้องศึกษามากมาย ให้เขาต้องมา ไม่สนใจแล้วก็มาพยายามบังคับ แต่จากการที่ ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่มีจริง ให้เขาได้คิด ได้ไตร่ตรอง เขาเริ่มมีเหตุผล เริ่มเป็นคนละเอียด เริ่มรู้จักประโยชน์ ที่เขาจะรู้จักสิ่งที่มี ว่า คนนั้นโกรธ เขาเคยโกรธไหม? และ โกรธเป็นใคร? และ โกรธ ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา โกรธเกิดขึ้น และโกรธก็ดับไป

ธรรมะ เป็น ธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้ามีทางที่จะให้คนเข้าใจ ด้วยการที่ผู้นั้น เป็นผู้เข้าใจ คนอื่นก็สามารถที่จะเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น เรื่องที่น่าเป็นห่วง ก็คือ ความไม่รู้ แต่ ขณะใดที่ห่วง ขณะนั้นทุกข์ ต้องไม่ลืม ธรรมะ ไม่ใช่ว่า มุ่งมั่นให้คนอื่น ได้ยิน ได้ฟัง อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อยากให้โลก เป็นอย่างนี้ อยากให้รัฐบาล เป็นอย่างนี้ แต่ว่า ความหวังดี เป็นความหวังดี ขณะที่หวังดี ไม่เดือดร้อน แต่ขณะที่ไม่เป็นไปตามที่หวังดี ก็ต้องไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่า รู้ว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น

ทุกคนที่ฟัง เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่า "ไม่มีเรา" ที่หลงยึดถือว่า มีเรา มานานแสนนาน อีกไม่นาน ก็ไม่มี คนใหม่มาจากไหน? กรรมหนึ่ง ที่ได้ทำไว้แล้วในกรรมทั้งหลาย ซึ่งเลือกไม่ได้เลย เหมือนเกิดมาเป็นคนนี้ ชาตินี้ ไม่ได้เลือกมาตอนก่อนจะเกิดเลย แต่ว่า มีปัจจัยที่เกิดแล้ว และ เมื่อเกิดมาแล้ว แต่ละคนก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน คิดต่างๆ กัน พูดต่างๆ กัน นั่ง นอน ยืน เดิน ยังต่างกันเลย แม้ขณะนี้ก็ดูได้!!! มาจากไหน? เป็นความละเอียดอย่างยิ่งของจิตและเจตสิก ซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง เกิดขึ้น นิยมอย่างไร ก็ค่อยๆ คล้อยไปอย่างนั้น!! อย่างคนอินเดีย ก็นั่งขัดสมาธิ เป็นท่าที่สบายที่สุด คนไทยก็นั่งพับเพียบ เมื่อยจัง! (หัวเราะ) ถ้านั่งนานๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำกัน จนกระทั่ง เป็นปกติ

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ทราบว่า "ไม่ใช่เรา" คำนี้ คือ "ทั้งหมด" ของธรรมะ ที่ทรงแสดง ไม่ว่าจะโดยนัยหลากหลาย มากมายสักเท่าไหร่ โดยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต และพระองค์นี้ และพระองค์ต่อไป ข้างหน้า ก็กล่าวถึงสิ่งที่มี ตามปกติ แต่ว่า เป็นความเข้าใจขึ้น จะเข้าใจทันทีไม่ได้ เพราะแม้แต่พระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานเท่าไหร่ แล้วใคร? ช่างคิดว่า จะเป็นพระโสดาบันชาตินี้ จะเป็นพระอรหันต์ชาตินี้ จะได้ปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณชาตินี้ ขั้นนั้น ขั้นนี้ ก็คือ ไม่เข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่อง "ละ"

เห็นไหม? ตรงกันข้ามกับชาวโลก!!! ชาวโลก เมื่อไหร่ที่ "ต้องการ" ให้รู้ว่า ขณะนั้น "ชาวโลก" ไม่ว่าจะต้องการอะไรทั้งสิ้น เรื่องใดทั้งสิ้น ขณะนั้นแหละ "ชาวโลก" แต่ว่า ถ้าได้ฟังธรรมะแล้ว "เริ่มรู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า "โลก" ที่เคยเป็น "สัตว์ บุคคล เรื่องราวต่างๆ " ซึ่งเที่ยง ดูมีความสำคัญเหลือเกิน อยากจะแก้ไขอย่างนี้ อยากจะทำอย่างนั้น แล้ว ได้ไหม? แค่ ทำ "เห็น" สิ ใครทำเห็นได้? ทำ "ได้ยิน" หน่อย ใครทำได้ แค่นี้ทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรซึ่งเกินวิสัย เพราะเหตุว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา ลืมไม่ได้เลย!!!

เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ มีความหวังดีกับทุกคน เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว ความหวังดีแท้จริง ไม่จำกัด ไม่ใช่ว่า หวังดีกับคนในครอบครัว เมื่อไหร่พี่เรา น้องเรา จะได้เข้าใจธรรมะ เขายังไม่สนใจธรรมะเลย มีพี่น้องสัก ๕ คน สนใจเสีย ๒ คน แล้วอีก ๓ คน เมื่อไหร่เขาจะสนใจธรรมะ นี่คือ "ความห่วงใย"

ถ้าเป็น "ความหวังดี" ก็คือว่า ธรรมะ ไม่ใช่สำหรับ พี่เรา น้องเรา แต่สำหรับ "ทุกคน" ใช่ไหม? และ ทุกคนที่สะสมมา ที่มีปัจจัยที่จะ ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ต้องเรียกร้องเลย เขาต้องมีชีวิตที่ผันมาสู่การที่จะได้ฟังธรรมะ เพราะมีเหตุ ที่ได้กระทำแล้ว ที่จะทำให้สนใจ ที่จะเข้าใจธรรมะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก หรือ แม้แต่ที่เทวโลก พรหมโลก ก็ตามแต่ แต่ละหนึ่ง เป็น แต่ละหนึ่ง จริงๆ

เราก็มีความหวังดี ที่จะให้แต่ละหนึ่ง ดีขึ้น แล้วก็เข้าใจธรรมะด้วย ก็พยายามทำทุกอย่าง ในชีวิตที่เกิดมาแสนสั้นกันทุกคน ที่จะรักษาจิตของตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่ใช่ว่า เพียรให้คนอื่นเขาดี แล้วเราเป็นทุกข์มาก เมื่อไหร่เขาจะเป็นอย่างที่เราต้องการ นั่นก็คือว่า ไม่ได้รักษาใจของตนเองเลย มุ่งคิดแต่จะให้เขาดี แล้วก็มาเป็นทุกข์ ที่เขาไม่ดี นี่คือ ไม่ถูก แล้วก็ ไม่ตรง แล้วก็ ไม่เข้าใจธรรมะ กล่าวได้เลย ใครคิดอย่างนี้ ไม่เข้าใจธรรมะ เพราะคิดว่าธรรมะเป็นอัตตา เป็นสิ่งที่ใครจะไปพยายามจัดแจง ขวนขวาย ได้ แต่จริงๆ แล้ว "จิต" แม้ของตัวเอง ทำอะไรได้? แล้วจะไปทำจิตคนอื่นได้หรือ?

เพราะฉะนั้น จิตหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมะเข้าใจขึ้น ขณะนั้น ธรรมะนั้นแหละ รักษาจิตนั้น เพราะฉะนั้น จะเอายาอื่นมา ไม่มีทางเลย แต่ก่อนอื่น ขอให้ทราบว่า ใครจะเป็นคนดีสักเท่าไหรก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ ดีไม่พอ!!! จำได้เลย ดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ!!! ถ้าเข้าใจอย่างนี้ จะเป็นคนดีขึ้นไหม? แต่ถ้าคิดว่า เราดีกว่าเขา หรือว่า เขาดีกว่าเรา แล้วจะพอได้อย่างไร? ใช่ไหม? ก็ยังเป็นความไม่ดีอยู่

ธรรมะ เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่ขัดเกลา เพราะเหตุว่า กิเลสนี่ ประมาณไม่ได้ หลับตานึกเท่าไหร่ ก็คิดถึงจักรวาลก็แล้วกัน ว่ามากอย่างนั้น แล้วจะดับหมด ได้อย่างไร? และถ้าไม่เริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้!! แล้วเมื่อไหร่ จะมีปัจจัยที่จะเริ่ม เพราะว่าอะไร? ก็สะสมอกุศลต่อไป มากมายมหาศาล เพิ่มกว่าที่จะละวันนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุว่า มีเพิ่มเข้ามาอีก

ด้วยเหตุนี้ ธรรมะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่าที่ประมาณไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า เมื่อได้ยิน ได้ฟังแล้ว เป็นเหตุให้เกิดความเห็นถูกต้อง และเป็นประโยชน์จริงๆ เพราะเริ่มเห็นอกุศล โดยเฉพาะของตนเอง ใครจะแก้ให้เรา? ไม่มีทางเลย แต่ความเข้าใจธรรมะ เห็นว่าไร้สาระไหม? ถ้ายังคงไม่รู้!! แล้วก็เป็นไปตามโลภะ โทสะ หรืออะไรก็ตาม ที่สะสมมา ที่จะไม่สนใจ ที่จะรักษาจิต ที่จะฟังธรรมะ ซึ่งมีค่า เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่าจะได้ฟังธรรมะต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ใครจะรู้?

เพราะฉะนั้น "ทุกคำ" ที่ได้ฟัง ประโยชน์มหาศาลจริงๆ ที่จะรู้ว่า "เพื่อใคร?" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานเท่าไหร่ แต่ละพระชาติ ขันติวาทีดาบส ชาตินั้นก็ใครทนได้ แต่ถ้าไม่ทนถึงอย่างนั้น จะสามารถรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริงได้ไหม? ถ้ายังคงเห็นแก่ตัว หรือว่า เห็นแก่ความสุขของตัวเอง ไม่รู้ว่า แท้ที่จริง ขณะนั้นก็เป็นอกุศลธรรม ไม่ใช่เรา แต่จิตที่มีอกุศลธรรมนั้นๆ ก็สะสมไปมากมายมหาศาลเพิ่มไปอีก

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะโดยความเป็นผู้ละเอียด แล้วไม่ลืมว่า "เพื่อละ" แต่ถ้าเพื่อได้ ผิดทันที "ชาวโลก" อีกแล้ว!! กลับจากการฟังธรรมะ มาเป็นชาวโลก เดี๋ยวก็เป็นชาวโลก แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจธรรมะพอที่จะรู้ว่า "โลกที่ไม่รู้ความจริง" กับ "ความจริงที่สามารถเข้าใจโลก" ที่เคยเป็นโลก ที่เคยไม่รู้มาก่อน ถูกต้องกว่ากัน แล้วก็เป็นประโยชน์มหาศาล

มิฉะนั้นแล้ว ถอยกลับไปแสนโกฏิกัปป์ เป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ก็ไม่รู้ ทีละหนึ่งขณะจิต ที่เกิดดับสืบต่อ มาจนถึงวันนี้ แล้วก็ต่อไปอีก ทีละหนึ่งขณะจิต ต่อไปอีก อีกแสนโกฏิกัปป์ หรือเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ว่า ยังมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด โดยไม่รู้เลยว่า เมื่อวานนี้หมดแล้ว ใช่ไหม? หายไปไหนหมด? น่าจะเหลือไว้บ้าง ไม่มีสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม แต่ขณะนี้ หายไปหรือเปล่า? ไม่รู้เหมือนเมื่อวานนี้เลย ค่อยๆ หายไป หมดไป ดับไป ทีละหนึ่งขณะ เดี๋ยวนี้ก็ค่อยๆ หมดไป ดับไป ทีละหนึ่งขณะ จนถึงพรุ่งนี้ อ้อ! เมื่อวานนี้ไม่เหลือแล้ว!! ก็เดี๋ยวนี้ ยังเป็นวันนี้อยู่ ยังไม่ใช่เมื่อวานนี้ แต่ความจริง เหมือนกันทุกขณะ!!!

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง "จิรกาลภาวนา" เป็นการอบรมที่ยาวนาน เพราะว่า ต้องเป็นความเห็นถูกต้องของตนเอง ที่ขณะที่ฟัง เริ่มรู้ว่า เข้าใจอะไรขึ้น? ตรงที่สุด ขั้นฟัง ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงความละเอียดยิ่งของสิ่งที่มีในขณะนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ แต่เมื่อเป็นความจริง วันหนึ่ง ไม่ต้องคิดเลย เมื่อไหร่ อยู่มานานเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้น วันหนึ่งข้างหน้า ก็สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ แน่นอน!!! ด้วยการที่เข้าใจถูกต้อง "ละ" ไม่ใช่ "ติดข้อง" ค่อยๆ ละ เป็นหนทางที่จะทำให้สามารถดับกิเลสได้หมด เพราะเหตุว่า กิเลสมีมาก

เพราะฉะนั้น ความหวังดี เป็น ความหวังดี แต่ไม่เดือดร้อนเลย!!! เพราะรู้จักธรรมะ ว่า ธรรมะ ต้องเป็นไป ตามธรรมะ ต่อให้จะหวังดีกัน ๑๐ คน ๒๐ คน ร้อยคน แต่ธาตุทั้งหลาย ก็ต้องเป็นไปตามธาตุที่ได้สะสมมาอย่างนั้น ที่จะเป็นอย่างนั้น ส่วนใดที่ดี ส่วนนั้นก็สะสมสำหรับธาตุนั้น จิตนั้น ส่วนใดที่ไม่ดี ก็สะสมไป แต่ละจิต ก็เหมือนกันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น พบกัน เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ไม่หวังร้ายเลย ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น เพราะว่า แล้วก็จากกัน เท่านั้นเอง!!!...แล้วก็จากกัน เท่านั้นเอง....ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย แต่ละภพ แต่ละชาติ!!!

เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้เป็นคนดี ด้วยการเข้าใจพระธรรม แล้วก็สะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะขัดเกลาจิต คนฉลาด เห็นโทษ ขัดเกลาเลย ไม่รอ!!! พรุ่งนี้ขัดดีไหม? พรุ่งนี้ขัดเกลา ดีไหม? ช้าไปแล้ว!! เพิ่มกิเลสอีกตั้งเท่าไหร่ ในวันนี้

ทุกขณะ เป็นขณะที่มีค่าจริงๆ ถ้าได้เข้าใจว่า ประโยชน์อยู่ที่แต่ละขณะ ซึ่งมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม มีโอกาสได้รู้จักยา ที่จะรักษาโรคของจิต ซึ่งมากยิ่งกว่าที่เขากำลังหวั่นกลัวกัน!!! นั่นคือ ภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในแท้ๆ อะไรจะขัดเกลาได้? นอกจากพระธรรม ที่เกิดจากความเข้าใจ "เพื่อละ" ต้องไม่ลืมคำนี้!!!

เพราะว่า ต่อไปก็จะเห็นโลภะ คอยแทรกเข้ามา จนกว่ามรรคจิตจะเกิด สามารถที่จะติดตามไปได้ ถึงอย่างนั้น!!! เพราะว่าได้สะสมมามาก แล้วก็ละเอียดขึ้นด้วย ต้องเป็นปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง อย่างมั่นคง ที่จะรู้ว่า "ผิด" ถ้า "ติด" แม้เพียงเล็กน้อย!!! ก็คือ ขณะนั้น ไม่ใช่ความเข้าใจธรรมะ เพราะว่า เข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ ขณะนั้น ไม่ติดข้อง!! แต่ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ และ ความติดข้อง ซึ่งเป็นสมุทัย ความติดข้องทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามา เท่าไหร่แล้ว? มองไม่เห็นเลย

เพราะฉะนั้น ยากกว่า ใช่ไหม? ที่จะพยายามไปเป็นตัวตนที่ว่า นั่งหน่อยหนึ่ง เดินหน่อยหนึ่ง นั่งเฉยๆ ไป แล้วก็จะละกิเลสได้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!

แต่ทรงแสดงพระธรรม ละเอียดยิ่งขึ้น โดยประการทั้งปวง ที่จะให้เกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จักประโยชน์ ในการฟังธรรมะ "ไม่คิดเอง" ฟังคำใด ไตร่ตรองคำนั้น แต่เท่าที่สังเกตุ ฟังธรรมะ ด้วยความเป็นเรา ไม่ถูกต้อง!!! เราฟัง เราสงสัยตรงนี้ เลยกลายเป็นคน "คิดธรรมะ" แทนที่จะ พิจารณา ไตร่ตรองธรรมะ ทำไมตรงนี้เป็นอย่างนั้น ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าคนนี้ ถ้านั่งต่อไป เขาจะได้ถึงการเป็นพระโสดาบัน เพราะสามารถที่จะประจักษ์ ถึงปัญญาที่ได้สะสมมา แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ปัญญานั้นก็ถูกปกปิดไว้ ด้วยความเป็นปกติของชีวิต ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ที่จะเกิดขึ้น ในแต่ละชาติ เขาก็สงสัย ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตรัสบอกให้เขาอยู่ เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน นี่คิด!! คิดธรรมะ!!! ไม่ได้เข้าใจธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ แล้วคิดธรรมะ มีประโยชน์อะไร? ทำไมไม่ฟังแล้วเข้าใจว่า ปัญญาของเราแค่นี้ ฟังแค่นี้ ก็อีกนานไหม? กว่าจะเข้าใจจนกระทั่ง สามารถที่จะ เริ่มรู้ และเข้าใจ สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง "ตรง" เห็น กำลังรู้ตรง "เห็น" ไม่คิดเรื่องอื่นเลย!!! แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ยากไหม?

เพราะฉะนั้น ก็มีการส่งเสริม สนับสนุนโลภะ ให้ทำอย่างนี้ จะได้รู้เร็ว ให้ทำอย่างนั้น เป็นทางลัด ทางผิด!!! เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงประจักษ์ว่า กิเลสมาก และเป็นนามธรรม หนทางอื่นไม่มีเลย!!! นอกจาก มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มด้วย "ความเห็นถูก" ตั้งแต่ขั้นการฟัง ปริยัติ ฟังแล้ว อย่าคิดว่าจะไม่เปลี่ยนเป็นอื่น ฟังแล้วยังเปลี่ยนได้ โลภะพาไปได้หมดเลย มีโอกาสเมื่อไหร่ก็พาไป!!

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านมีมิตรสหาย ๕๐๐ คน นับถือลัทธิอื่น ท่านก็พาไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม มีศรัทธา ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปสู่ที่อื่น สหายของท่านอนาถบิณฑิกะ ก็กลับไปหาครูอาจารย์เดิม พอพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา ก็กลับมาอีก แต่ว่า ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบัน ใครก็ใคร ไม่ใช่เราใช่ไหม? แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่ไปจำแบบคนนั้นมา พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ทำสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ก็จะไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ทำสมาธิ จะได้รู้ความจริง ไร้สาระ!!! แล้วก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลย ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่ว่า ปัญญา รู้อะไร?

เดี๋ยวนี้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ปัญญารู้ได้ไหม? อวิชชา รู้ไม่ได้แน่!! อกุศลธรรมทั้งหลาย ก็รู้ไม่ได้ แม้สติ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิก เท่านั้น แต่ว่าปัญญาเจตสิกจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย จะต้องมีสภาพนามธรรม ซึ่งเกิดพร้อมกัน ทั้งฝ่ายดี จะไปเกิดกับฝ่ายไม่ดี ไม่ได้ อกุศลเจตสิก จะไปเกิดกับกุศลเจตสิกไม่ได้ กุศลเจตสิกก็จะไปเกิดกับอกุศลเจตสิก ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ธรรมะฝ่ายดี กว่าที่จะเกิดพร้อมกัน เป็นกุศลหนึ่งขณะ คิดดู อย่างน้อย ๑๙ โสภณเจตสิก ขาดไม่ได้เลยสักหนึ่ง ไม่ใช่เราเลย เดี๋ยวนี้เอง!!! ทั้งหมด เป็นจิต เจตสิก ซึ่งถูกปิดบังไว้ นานแสนนาน การฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เริ่มเผย เปิดสิ่งที่ปกปิดไว้ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า "ไม่ใช่เรา" แต่ว่าละเอียดมาก เพราะว่า อยู่ในความมืดมานานแสนนาน มืดสนิท

เพราะฉะนั้น กว่าพระธรรมที่ได้ฟังแล้ว จะเริ่มทำให้ สิ่งที่กำลังมืดอยู่ขณะนี้ ไม่ปรากฏเลย ค่อยๆ ปรากฏ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ขณะนี้ไม่ใช่เราที่เห็น ไม่ใช่เราที่คิด แล้ว "คิด" เป็นอย่างไร? "เห็น" เป็นอย่างไร? อยู่ในความมืดหรือยัง? หรือว่า ยังอยู่ต่อไป เพราะเหตุว่า ความเข้าใจยังไม่พอ เป็นผู้ตรงที่สุด!! จึงจะได้สาระจากพระธรรม

ต้องประกอบด้วยบารมี ธรรมะ ที่จะทำให้ จากฝั่งของกิเลส ค่อยๆ ไปถึงฝั่งที่ดับกิเลสได้ จะขาดบารมีสักอย่าง ก็ไม่ได้ นี่เป็นเหตุที่ "ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้" แต่ "ไม่ควรคิดเอง" ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปคิดอะไร ที่ไม่มี ที่ไม่อยู่ในพระไตรปิฎก แล้วก็ไปนั่งใฝ่หา ค้นหาแต่ละคำเพิ่มเติมว่า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นใครคะ? เสียเวลาไหม? คิดอย่างไร? แล้วคิดได้หรือเปล่า? แล้วรู้หรือเปล่าว่า ที่คิดนั้นน่ะ ถูกหรือผิด? คิดไปทางไหนก็ตันทั้งนั้น เพราะยังไปอีกยาวไกล ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังได้ฟัง!!

เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะเริ่มต้นเป็นผู้ฟัง ก็ต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าสาระที่จะได้จากพระธรรม ก็คือ ไม่ได้ฟังคนอื่น แล้วก็ไม่ได้ " คิดเอง" ด้วย แต่ว่า มี "คำ" ที่สามารถที่จะให้เข้าใจแต่ละคำ เมื่อเข้าใจแล้ว ลึกลงไปทุกครั้ง จนกว่าจะถึงธรรมะที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนี้!! โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา และ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา!!!

เพราะฉะนั้น ก็อนุโมทนานะคะ ในบุญกุศลที่ได้สะสมมา ที่มีโอกาสได้ฟังธรรมะ ได้พบกัน ทุกท่าน ทุกคน แล้วก็ ต่างก็เป็นมิตรที่แท้จริงของทุกคน เพราะว่า ทุกคนก็เห็นโทษ ของอกุศล แล้วก็รู้ว่า กุศลเท่านั้น ที่เป็นสิ่งซึ่ง ไม่เป็นโทษใดๆ เลย ทั้งสิ้น แล้วถ้าไม่เริ่มขัดเกลาวันนี้ จะรอเมื่อไหร่? เสียดายเวลานะคะ ถ้าจะไม่ใช่แต่ละวัน แต่ละขณะ!!!

.........ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา.........

"...เมื่อเข้าใจแล้ว ลึกลงไปทุกครั้ง จนกว่าจะถึงธรรมะที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนี้!! โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา และ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ทุกท่าน และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

(วีดีโอคลิปนี้ จัดทำด้วยกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ขออนุโมทนาอย่างยิ่งครับ)



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 7 ก.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ทุกท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย tanrat  วันที่ 7 ก.ค. 2558

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย kullawat  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย jirat wen  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย panasda  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ปวีร์  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบคุณพี่วันชัยสำหรับกระทู้ดีๆ ครับ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย thilda  วันที่ 7 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย wirat.k  วันที่ 8 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 8 ก.ค. 2558


ความคิดเห็น 11    โดย j.jim  วันที่ 8 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย Phutporn  วันที่ 9 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย ชลธี-หาดใหญ่  วันที่ 20 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย ปลากริม  วันที่ 11 ก.ค. 2561

กราบอนุโมทนาครับ