ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สรุปสาระสำคัญของการสนทนาพระสูตร
ปธานสูตร
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ตรงต่อความจริง
~ บวชเพื่ออะไร? ทำไมจึงบวช จริงใจหรือตรงต่อความจริงหรือเปล่าว่าต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและเห็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต
~ ฟังธรรมมาหลายปี แต่ว่าประโยชน์อยู่ที่เข้าใจแต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ที่ได้ฟัง ว่าคำนั้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน นี่ต้องตรง
~ ขณะที่เมตตา ขณะที่ไม่คิดร้ายต่อใคร ก็เป็นความสงบของจิต
~ ถ้าไม่มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) จะมีความเป็นไปต่างๆ นานา ในโลกนี้ทั้งดีและชั่ว ไหม? ก็ไม่มี
~ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (ตถาคต) เห็นธรรม หมายความว่า เข้าใจความจริงที่ได้ฟัง เห็นความจริงในคำที่ได้ฟัง ผู้นั้นเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าใครไม่ได้เห็นความจริงในคำที่ได้ฟัง ผู้นั้นไม่สามารถจะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย
~ ขอถามว่า สิ่งที่ง่าย แต่ผิด จะเลือกไหม?
~ ใครก็ตามที่ไม่รับฟังพระธรรม จะพูดไปทำไม แต่ผู้ที่ฟัง มี นี่เป็นเหตุที่จะต้องพูด สำหรับผู้ที่ฟังและไตร่ตรอง จะได้พิจารณาเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่กำลังไตร่ตรองและเข้าใจ
~ ธรรมเป็นธรรม เห็นถูกก็เป็นธรรม เห็นผิดก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะไปทำอะไรกับธรรม ไม่มีใครทำอะไรได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ให้สัตว์โลก ที่ไม่รู้ ได้ยินได้ฟัง ได้ไตร่ตรองได้พิจารณา แล้วแต่ว่าใครจะได้เข้าใจมากน้อยแค่ไหน?
~ ปรารถนาดี ก็ต้องปรารถนาดีกับทุกคน ไม่เลือกว่าเขาเป็นใคร
~ ไม่มีอะไรที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น
~ เป็นพหูสูต เพราะได้ฟังมาก และได้ฟังมาก ไม่พอ ก็ต้องเข้าใจแต่ละคำที่ได้ฟังด้วย ได้ฟังมากเท่าไหร่ ก็คือ เข้าใจมากเท่านั้น ไม่ใช่ฟังโดยไม่เข้าใจแล้วจะเป็นพหูสูต
~ เวลาที่พระผู้มีพระภาค เสด็จไปในที่ต่างๆ พระภิกษุทั้งหลาย ติดตามไป เพื่อฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
~ ศรัทธาหมายความว่าอะไร? ขณะนั้นผ่องใส พ้นจากอกุศล เพราะฉะนั้นกุศลทั้งหมด ต้องมีศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งเป็นสภาพที่ทำให้เจตสิกทั้งหลายที่เกิดร่วมด้วยและจิต ผ่องใส
~ ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย เพราะว่า ทุกอย่างจากไม่มี ก็มี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลย เท่านี้เอง เท่านี้เอง คือ ไม่มีอะไรจริงๆ
~ เพราะไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น มี ก็หลงเข้าใจผิด หลงยึดถือในสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่า ไม่มีอะไร เบาสบายไหม?
~ ความเห็นผิด นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยต่างๆ แล้วแต่ว่าจะเห็นผิดมากน้อยแค่ไหน?
~ ที่มีการประทุษร้ายเบียดเบียนหรือว่าฆ่า จะเป็นฆ่านกหนูปูปลาหรือมนุษย์ก็ตามแต่ ขณะนั้นเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดของความไม่รู้ก็นำมาซึ่งพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งถ้ามีความรู้ จะฆ่าผู้อื่นไหม?
~ ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่นำทุกข์โทษภัยมาให้ใครทั้งหมด แม้แต่ตนเองและผู้อื่น
~ จะประมาทความเข้าใจแม้แต่ขณะหนึ่งขณะใดไม่ได้เลย เพราะความเข้าใจถูกเห็นถูก มีค่าอย่างยิ่ง.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ...ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิตอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ
ยินดีในบุญขอบพระคุณคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ