[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 374
อรรถกถาสูตรที่ ๘
ประวัติพระโสณกุฏิกัณณเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 374
อรรถกถาสูตรที่ ๘
ประวัติพระโสณกุฏิกัณณเถระ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้.
ถ้อยคำท่านเรียกว่า วากฺกรณ ในบทว่า กลฺยาณวากฺกรณานํ อธิบายว่า ถ้อยคำอันงามคือถ้อยคำอันไพเราะ จริงอยู่ พระเถระนี้กล่าวธรรมกถาด้วยเสียงอันไพเราะ แด่พระตถาคต ในพระคันธกุฏีเดียวกันกับพระทศพล. ครั้งนั้น พระศาสดาได้ประทานสาธุการแก่ท่าน เพราะฉะนั้น พระเถระนั้นจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีวาจาไพเราะ คำว่า โสณะ เป็นชื่อของท่าน แต่ท่านทรงเครื่องประดับหู (ตุ้มหู) มีค่าถึงโกฏิหนึ่ง เพราะฉะนั้น เขาพึงเรียกว่า กุฏิกัณณะ หมายความว่า พระโสณะผู้มีตุ้มหูราคาโกฏิหนึ่ง ในปัญหากรรมของท่านมีสิ่งที่จะพึงกล่าวตามลำดับ ดังต่อไปนี้ :-
แม้พระเถระนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ไปวิหารกับมหาชนโดยนัยก่อนนั้นแล ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งผู้เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคต จึงนิมนต์พระทศพลถวายทาน ๗ วัน ได้กระทำความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า พระองค์ทรงตั้งภิกษุใดไว้ ในตำแหน่งภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ วันสุดท้ายใน ๗ วันนับแต่วันนี้ แม้ข้าพระองค์พึงเป็นเหมือนอย่างภิกษุนั้น ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 375
ในอนาคต ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนี้ พระศาสดาทรงเห็นว่า ไม่มีอันตรายสำหรับเธอ จึงทรงพยากรณ์ว่า ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าในอนาคตกาล แล้วเสด็จกลับไป. ฝ่ายท่านก็กระทำกุศลกรรมจนตลอดชีวิต เวียนว่ายในเทวดา และมนุษย์แสนกัป จุติจากเทวโลกมาถือปฏิสนธิ ในท้องแห่งอุบาสิกา ผู้เป็นแม่บ้านของครอบครัว ชื่อว่า กาฬี ก่อนพระทศพลของเราทรงอุบัติ นางมีครรภ์ครบแล้ว มายังนิเวศน์แห่งครอบครัวของตน ในกรุงราชคฤห์.
สมัยนั้น พระศาสดาของเรา ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงประกาศธรรมจักรในราวป่าอิสิปตนะแล้ว เทวดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมกันแล้ว ในที่ประชุมนั้น ยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า สาตาคิรยักษ์ ในระหว่างยักษ์เสนาบดี (แม่ทัพยักษ์) ๒๘ ตน ฟังธรรมกถาของพระทศพล ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ดำริว่า ธรรมกถาอันไพเราะนี้ เหมวตยักษ์สหายของเรา ได้ฟังหรือมิได้ฟังหนอ ยักษ์นั้นมองหาในระหว่างหมู่เทพ ก็ไม่เห็นยักษ์นั้น จึงคิดว่าสหายของเราไม่ทราบว่า รัตนะทั้ง ๓ เกิดขึ้นแล้ว แน่แท้ จำเราจักไปกล่าวคุณแห่งพระทศพลแก่เขา และจะบอกถึงธรรมที่เราบรรลุแก่เขาด้วย จึงไปหาเหมวตยักษ์นั้น โดยทางเบื้องบน แห่งกรุงราชคฤห์กับบริษัทของตน
ฝ่ายเหมวตยักษ์ เห็นป่าหิมพานต์อันกว้างยาวถึง ๓ พันโยชน์ มีดอกไม้บาน ในเวลามิใช่ฤดู คิดว่าเราจักเล่นการละเล่น ในป่าหิมพานต์กับสหายของเรา จึงไปกับบริษัทของตนโดยเบื้องบน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 376
กรุงราชคฤห์เหมือนกัน แม้ยักษ์เหล่านั้น ก็มาพบกันเบื้องบนนิเวศน์ของอุบาสิกา ในขณะนั้น ต่างก็ถามกันว่า พวกท่านเป็นบริษัทของใคร พวกเราเป็นบริษัทของสาตาคิรยักษ์ พวกท่านล่ะ เป็นบริษัทของใคร พวกเราเป็นบริษัทของเหมวตยักษ์ ดังนี้ พวกยักษ์เหล่านั้น ต่างยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ไปแจ้งแก่ยักษ์เสนาบดีเหล่านั้น สาตาคิรยักษ์กล่าวกะเหมวตยักษ์ว่า สหาย ท่านจะไปไหน? เหมวตยักษ์ตอบว่า สหาย เราจะไปสำนักท่าน สา. เพราะเหตุไร เห. เราเห็นป่าหิมพานต์มีดอกไม้สะพรั่ง เราจักไปเล่นในป่าหิมพานต์นั้นกับท่าน สา. สหาย ก็ท่านจะไปได้อย่างไร? ท่านรู้ว่าป่าหิมพานต์มีดอกไม้บานสะพรั่งด้วยเหตุไร เห. ไม่รู้สหาย สา. สิทธัตถกุมารโอรสพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ยังหมื่นโลกธาตุให้ไหวแล้ว ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ในท่ามกลางเทวดา ในหมื่นจักรวาล ท่านไม่รู้ว่าพระธรรมจักรนั้น พระองค์ทรงประกาศแล้วหรือ. เห. ไม่รู้ดอกสหาย สา. ท่านสำคัญว่าที่มีประมาณเท่านั้น นั่นเทียว มีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่ทั่วหมื่นจักรวาล เป็นเสมือนดอกไม้กลุ่มเดียวกัน ในวันนี้ เพื่อสักการะบุรุษนั้นนะสหาย. เห. ดอกไม้บานอยู่ก่อน พระศาสดานั้น ท่านเห็นเต็มนัยตาแล้วหรือ สา. เออ สหายเหมวตะ เราเห็นพระศาสดาแล้วเราฟังธรรมแล้ว เราดื่มอมตะแล้ว เราจักทำท่านให้รู้อมตธรรมนั้นบ้าง เราจึงมายังสำนักของท่านสหาย. เมื่อยักษ์เหล่านั้นกำลังเจรจากันอยู่ นั่นแล อุบาสิกาลุกขึ้นจากที่นอนอันมีสิริ นั่งฟังการเจรจาปราศรัยนั้น ถือเอานิมิตในเสียงกำหนดว่า เสียงนี้เป็นเสียง ในเบื้องบน ไม่ใช่ในภายใต้ เป็นเสียงอมนุษย์พูด มิใช่เสียงมนุษย์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 377
พูด เงี่ยโสตประคองใจ. แต่นั้นสาคาคิรยักษ์พูดว่า
อชฺช ปณฺณรโส อุโปสโถ (อิติ สาตาคิโร ยกฺโข)
ทิพฺพา รตฺติ อุปฏฺิต
อโนนนามํ สตฺถารํ
หนฺท ปสฺสาม โคตมนฺติ.
วันนี้เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ราตรีอันเป็นทิพย์ปรากฏแล้ว มาเราทั้งสอง จงไปเฝ้าพระโคดม ผู้มีพระนามอันไม่ทรามเถิด
สาตาคิรยักษ์กล่าวดังนี้แล้ว เหมวตยักษ์กล่าวว่า
กจฺจิ มโน สุปณิหิโต (อิติ เหมวโต ยกฺโข)
สพฺพภูเตสุ ตาทิโน
กจฺจิ อิฏฺเ อนิฏเ จ
สงฺกปฺปสฺส วสีคตาติ.
พระโคดมผู้คงที่ ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้ว ในสัตว์ทั้งปวงหรือ พระโคดมทรงกระทำความดำริ ในอิฏฐารมณ์แลอนิฏฐารมณ์ ให้อยู่ในอำนาจแลหรือ.
เหมวตยักษ์ ถามถึง กายสมาจาร อาชีพ และมโนสมาจาร ของพระศาสดาอย่างนี้แล้ว สาตาคิรยักษ์ วิสัชชนาข้อที่เหมวตยักษ์ถามแล้วๆ เมื่อจบเหมวตสูตรแล้ว ตามความชอบใจด้วยการกล่าว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 378
คุณแห่งสรีรวรรณะ ของพระศาสดาอย่างนี้แล้ว เหมวตยักษ์ส่งญาณไปตามกระแส แห่งพระธรรมเทศนาของสหาย ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. คราวนั้น นางกาฬีอุบาสิกา ยังไม่เคยเห็นพระตถาคตเลย ก็เกิดความเลื่อมใสที่ได้ฟังในธรรม ที่เขาแสดงแก่บุคคลอื่น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ประดุจบริโภคโภชนะ ที่เขาจัดสำหรับคนอื่น ฉะนั้น, อุบาสิกานั้น เป็นพระโสดาบันคนแรก ในระหว่างหญิงทั้งหมด และเป็นหัวหน้าหญิงทั้งหมด. ในคืนนั้น นางก็คลอดบุตร พร้อมกับการบรรลุโสดาปัตติผล ในวันขนานนามทารกที่ได้มาแล้ว ตั้งชื่อว่า โสณะ. อุบาสิกานั้น อยู่ในเรือนแห่งครอบครัวตามความพอใจแล้ว ได้ไปยังกุลฆรนคร
สมัยนั้น พระมหากัจจายนเถระ อาศัยเมืองนั้น อยู่ที่ภูเขาอุปวัตตะ อุบาสิกาอุปัฏฐากพระเถระ พระเถระไปนิเวศน์ของนางเป็นประจำ แม้เด็กโสณะก็เที่ยวเล่น ในสำนักของพระเถระเป็นประจำ จึงคุ้นเคยกัน ต่อมาเด็กนั้นบรรพชาในสำนักของพระเถระ พระเถระประสงค์จะให้ท่านอุปสมบท แสวงหาภิกษุอยู่ ๓ ปี ครบคณะจึงให้อุปสมบทได้ ท่านอุปสมบทแล้ว ให้พระเถระบอกกัมมัฏฐานเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว เรียนคัมภีร์สุตตนิบาต ในสำนักของพระเถระ ออกพรรษาปวารณาแล้ว ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดาจึงลาพระอุปัชฌาย์ พระเถระกล่าวว่า โสณะเมื่อท่านไปแล้ว พระศาสดาจะให้ท่านอยู่ในพระคันธกุฏีเดียวกัน จักเชิญให้ท่านกล่าวธรรม พระศาสดาจะทรงเลื่อมใสในธรรมกถาของท่าน จักประทานพรแก่ท่าน เมื่อท่านจะรับพร จงรับเอาพรอย่างนี้ จงไหว้พระบาท
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 379
ของพระทศพลตามคำของเรา พระโสณะนั้น อันพระอุปัชฌาย์อนุญาตแล้ว จึงไปบอกแก่โยมอุบาสิกา แม้อุบาสิกานั้น ก็กล่าวว่าดีละพ่อ ท่านเมื่อไปเฝ้าพระทศพล จงเอาผ้ากัมพลผืนนี้ไป จงลาดกระทำให้เป็นผ้ารองพื้น ในพระคันธกุฏี ที่ประทับของพระศาสดา แล้วถวายผ้ากัมพลผืนใหญ่ไป พระโสณเถระรับผ้านั้นไปแล้ว เก็บงำเสนาสนะ ไปถึงที่ประทับของพระศาสดา โดยลำดับ เข้าไปเฝ้า ในเวลาที่พระทศพลประทับนั่ง บนพุทธอาสน์ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาทรงกระทำปฏิสัณฐาร กับพระเถระนั้นแล้ว ตรัสเรียกพระอานนทเถระ มาตรัสว่า อานนท์ จงจัดเสนาสนะสำหรับภิกษุรูปนี้ พระเถระทราบ พระประสงค์ของพระศาสดา ได้ลาดผ้าแล้ว ประดุจยกผ้าลาดพื้นไว้ตรงกลาง ในภายในพระคันธกุฏี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยับยั้งกลางแจ้ง ตลอดราตรีเป็นอันมาก จึงเสด็จเข้าพระวิหาร แม้ท่านพระโสณะ ก็ยับยั้งกลางแจ้ง ตลอดราตรีเป็นอันมาก เหมือนกัน จึงเข้าพระวิหาร พระศาสดาเสด็จสีหยาสน์ ในมัชฌิมยาม เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง ในสมัยใกล้รุ่ง ทรงทราบว่าความลำบากกายของพระโสณะ จักสงบระงับด้วยเหตุเพียงเท่านี้ แล้วเชื้อเชิญให้กล่าวธรรม พระโสณเถระ ได้กล่าวพระสูตรที่เนื่องด้วยอัฏฐกวัคค์ พยัญชนะตัวหนึ่งก็ไม่เสียด้วยเสียงอันไพเราะ เมื่อจบคาถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการ ประกาศถึงความเลื่อมใสว่า ภิกษุ ธรรมเธอเรียนไว้ดีแล้ว เทศนาในเวลาที่เราแสดงแล้วก็ดี ในวันนี้ก็ดี เป็นอย่างเดียวกันเทียว ไม่ขาดไม่เกิน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 380
เลย. ฝ่ายพระโสณะกำหนดว่า นี้เป็นโอกาส แล้วถวายบังคมพระทศพล ตามคำของพระอุปัชฌาย์ ทูลขอพรทุกอย่างตั้งต้น แต่การอุปสมบท ด้วยคณะมีพระวินัยธรครบ ๕ พระศาสดาทรงประทานแล้ว ต่อมาพระเถระถวายบังคม ตามคำของอุบาสิกามารดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาส่งผ้ากัมพลผืนนี้มา เพื่อปูลาดพื้นในพระคันธกุฏีที่ประทับของพระองค์ แล้วถวายผ้ากัมพล ลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระศาสดา กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว. ในเรื่องนี้มีความสังเขปเท่านี้. แต่โดยพิสดาร เรื่องตั้งแต่การบรรพชา ของพระเถระเป็นต้นทั้งหมด มาในพระสูตรแล้ว.
ดังกล่าวมานี้ พระเถระได้พร ๘ ประการ จากสำนักพระศาสดาแล้ว กลับไปยังสำนักพระอุปัชฌาย์ เล่าประพฤติเหตุทั้งปวงนั้นแล้ว. วันรุ่งขึ้นไปยังประตูนิเวศน์ของโยมอุบาสิกา ยืนคอยอาหาร อุบาสิกาฟังข่าวว่า บุตรของเรามายืนที่ประตู จึงรีบมาอภิวาทแล้วรับบาตรจากมือ นิมนต์ให้นั่งในนิเวศน์ของตน ถวายโภชนะแล้ว. ทีนั้นเมื่อฉันเสร็จ อุบาสิกากล่าวกะท่านว่า พ่อท่านได้พบพระทศพลแล้วหรือ. พบแล้ว อุบาสิกา. อุ.ท่านได้ไหว้ตามคำของโยมแล้วหรือ ส.จ๊ะ ไหว้แล้ว และผ้ากัมพลของเรานั้น ได้ลาดไว้ให้เป็นผ้าลาดพื้นในที่ประทับของพระตถาคตแล้ว. อุ.พ่อ ได้ยินว่า ท่านกล่าวธรรมกถาถวายพระศาสดา และพระศาสดา ได้ทรงประทานสาธุการแก่ท่านหรือ. พระย้อนถามว่า โยมทราบได้อย่างไร อุบาสิกา. อุบาสิกากล่าวว่า พ่อเทวดาที่สถิตอยู่ในเรือนของโยมบอกว่า เทวดาในหมื่นจักรวาล ได้ถวายสาธุการ เมื่อพระศาสดาประทานสาธุการแก่ท่าน แล้วกล่าวว่า พ่อ โยมหวังว่า ท่านควรกล่าวธรรมเหมือนอย่างที่ท่าน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 381
กล่าวแล้ว แก่โยมบ้าง โดยทำนองที่ได้กล่าวแด่พระพุทธเจ้า พระเถระรับคำของโยมแล้ว. นางทราบว่า พระเถระรับคำแล้ว จึงให้ทำมณฑปใกล้ประตู นิมนต์ให้กล่าวธรรมแก่ตน โดยทำนองที่กล่าวแก่พระทศพลแล้ว. เรื่องตั้งขึ้นแล้วในที่นี้. ต่อมาพระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลางหมู่พระอริยะ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่ง เป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะแล้ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๘