ขอเรียนถามเรื่องเมตตา...กับการเจริญสติ
โดย พุทธรักษา  22 พ.ย. 2550
หัวข้อหมายเลข 5630

จากการฟัง เข้าใจว่า

๑. เมตตา คือ ความเป็นมิตร หวังประโยชน์เกื้อกูล เกิดขึ้นโดยมีบัญญัติ (คนหรือสัตว์) เป็นอารมณ์

๒. ส่วนการเจริญสติ มีปรมัตถ์ (นามและรูป) เป็นอารมณ์ เมื่อสภาพธรรมที่เป็นเมตตาเกิดและดับไปแล้ว สติจึงจะเกิดระลึกได้ว่า ไม่มีเราที่เมตตา ไม่มีคนหรือสัตว์ที่ได้รับความเมตตา เป็นจิตคนละขณะกับข้อ ๑

๓. สภาพธรรมข้อ ๑. เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาขั้นสมถภาวนา

๔. สภาพธรรมข้อ ๒. เป็นเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญาขั้นวิปัสสนาเป็นเมตตาบารมี

๕. เมตตาบารมี จะต้องเกิดโดยข้อ ๑. เกิดก่อนและข้อ ๒. เกิดตามลำดับเสมอ ผิดถูกประการใด กรุณาแนะนำ เพื่อเป็นธรรมทานด้วยค่ะ

ขออนุโมทนา



ความคิดเห็น 1    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 22 พ.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยข้อ

๑. ถูกต้องครับ เมตตา คือความเป็นมิตร นำประโยชน์ไปให้ โดยไม่ได้หวังอะไร แม้ความเป็นที่รัก เพราะเมตตากับโลภะใกล้กัน เมตตา ไม่ติดข้องและเมตตามีสัตว์ บุคคลเป็นอารมณ์ มีเมตตากับต้นไม้ ไม่ได้ เป็นต้น

ข้อ ๒. ถูกต้องครับ การเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นวิปัสสนาต้องมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เหตุผลเพราะเพื่อละความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล (เป็นบัญญัติ) ดังนั้น สติปัฏฐานจึงมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์เพื่อรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ สิ่งของ การที่กุศลที่เป็นเมตตาเกิดขึ้น สติปัฏฐานจะต้องเกิดขึ้นรู้ในขณะที่กุศลจิตที่เป็นเมตตาดับไปแล้ว คนละขณะครับ เพราะขณะที่เป็นเมตตา ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐานแต่สติปัฏฐานสามารถเกิดต่อรู้ว่าเมตตาเป็นธรรมไม่ใช่เรา หลังจากเมตตาดับไปครับ เพราะกุศลจิตที่เป็นเมตตาก็เป็นธรรม เป็นปรมัตถ์ สติปัฏฐานจึงมีกุศลจิตที่เป็นเมตตาเป็นอารมณ์ได้


ความคิดเห็น 2    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 22 พ.ย. 2550

ข้อ ๓. เมตตาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น คิดอยากให้เขามีความสุข หรือมีเมตตาทางกาย วาจา เป็นต้น ที่เกิดเพียงชั่วขณะนั้นไม่ใช่กุศลขั้นสมถภาวนา เพราะกุศลขั้นสมถภาวนาจะต้องประกอบด้วยปัญญาเสมอ คือ รู้ลักษณะของกุศลที่เป็นเมตตาแล้ว รู้ว่าควรจะเจริญอย่างไรให้กุศลที่เป็นเมตตาเกิดขึ้นบ่อยๆ จนถึงอัปนาสมาธิ ดังนั้น ต้องมีปัญญาทีรู้ลักษณะของเมตตา (แต่ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรม) แล้วอบรมให้เจริญขึ้นจนแนบแน่น จึงเป็นกุศลระดับสมถภาวนาที่ประกอบด้วยปัญญา แต่เมตตาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นสมถ คือสงบจากกิเลสเพียงชั่วขณะ แต่ไม่ใช่กุศลระดับสมถภาวนาและกุศลที่เป็นเมตตาสามารถเกิดโดยไม่มีปัญญาก็ได้ แต่สมถภาวนาต้องมีปัญญาเสมอ


ความคิดเห็น 3    โดย แล้วเจอกัน  วันที่ 22 พ.ย. 2550

ข้อ ๔. ถ้ามีเมตตาเป็นอารมณ์ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด ก็ขาดบารมีไม่ได้แน่นอนครับเป็นเมตตาบารมีและเป็นปัญญาบารมีด้วยครับ

ข้อ ๕. จากคำถามหมายความว่าเมตตาบารมีจะต้องเป็นลักษณะ คือ เมตตาเกิดแล้วสติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงเป็นเมตตาบารมีเท่านั้น ไม่เสมอไปครับ

เมตตาบารมีไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีสติปัฏฐานเกิดระลึกลักษณะของเมตตาจึงเป็นเมตตาบารมี แต่กุศลที่เป็นเมตตาเกิดขึ้น อันเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส มีปัญญา (ไม่ใช่ถึงขั้นสติปัฏฐาน) และเห็นโทษของกิเลสและการเกิด เป็นต้น ก็เป็นเมตตาบารมีได้ โดยไม่ต้องจำเป็นที่จะเป็นสติปัฏฐาน ดังเช่น อดีตชาติของพระโพธิสัตว์ ที่มีเมตตาบารมีได้ โดยไม่ต้องมีสติปัฏฐานเกิดร่วมด้วยเสมอ แต่กุศลที่เป็นเมตตาของท่านเกิดขึ้นเพราะเห็นโทษของกิเลสและน้อมจิตไปเพื่อสิ้นกิเลสและช่วยสัตว์โลก เป็นต้น

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 23 พ.ย. 2550

ผู้ที่มีเมตตา ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ เช่น พระโพธิสัตว์ ท่านเคยเกิดเป็นสุวรรณสาม ท่านเจริญเมตตาเป็นปกติ ท่านถูกพระราชาที่ออกมาล่าสัตว์ยิง ท่านก็ไม่โกรธ พูดกับพระราชาด้วยวาจาอ่อนหวาน ภายหลังพ่อแม่ของสุวรรณสามตั้งสัจจกิริยา ท่านก็รอดชีวิตค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Komsan  วันที่ 23 พ.ย. 2550
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 6    โดย แช่มชื่น  วันที่ 24 พ.ย. 2550

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย poon^poon  วันที่ 25 พ.ย. 2550

ขออนุโมทนาเช่นกันค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย yu_da2554hotmail  วันที่ 29 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ