ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
กราบเท้า บูชา พระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)
ขอเชิญรับฟัง...
สภาพธรรมะต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้
สภาพธรรมะต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถ ที่จะ เกิดขึ้นได้ ลอยๆ เลย เช่น เรา ”เห็น” สิ่งที่น่าพอใจ ก็ทำให้ ”เกิด” ความติดข้องยินดีพอใจ ถ้า ”เห็น” สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ทำให้ ขุ่นใจ ก็ เป็นไปตามเหตุการณ์ เป็นไปตามสิ่งที่มาปรากฏ ให้เห็นทางตา ให้ได้ยินทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ได้ลิ้มรสทางลิ้น ให้กายกระทบสัมผัส แล้วก็ ”ปรุงแต่ง คิดนึก” เป็นเรื่องต่างๆ แต่ว่า สภาพธรรมะ ที่เป็น “อริยสัจธรรม” ก็คือ สภาพธรรมะที่ ”เกิด”
ขณะนี้ “เกิด” จึงได้ ”ปรากฏ” แล้ว ”ดับไป” ถ้า ไม่สามารถ ที่จะ “ประจักษ์” การเกิดดับ ก็ไม่ใช่ ”ทุกขะอริยสัจจะ” เพราะว่า เวลา พูดถึง “อริยสัจ ๔” ทุกคน ก็ทราบว่า อริยสัจที่ ๑ คือ ทุกข์ อริยสัจที่ ๒ คือ ทุกขะสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจที่ ๓ คือ ทุกขะนิโรธะ การดับทุกข์ และก็ อริยสัจที่ ๔ คือ หนทางปฏิบัติ ที่จะ ทำให้ รู้แจ้ง อริยสัจธรรม คือ ทุกขะนิโรธะ การดับทุกข์ คามินีปฏิปทา หนทาง ที่จะ ทำให้ รู้แจ้ง อริยสัจธรรม = ทุกขะนิโรธะ คามินีปฏิปทา ซึ่ง “ขณะนี้” ถ้ายัง”ไม่ได้ ศึกษาธรรมะ” เราก็ เข้าใจ ”ทุกข์” เพียงแค่ว่า เวลาที่เราป่วยไข้ แล้วก็ประสบกับ สิ่งที่ไม่น่าพอใจ นั่นคือ”ความทุกข์ของเรา” ซึ่ง เคยคิดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้น “เป็นทุกข์”
แต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ “ทุกข์” ยิ่งกว่านั้น คือ ไม่ได้ตรัสรู้เพียงว่า ทุกขเวทนา หรือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจต่างๆ แต่ ตรัสรู้ว่า สภาพธรรมะใด ก็ตาม ซึ่ง ”เกิด” สภาพธรรมะนั้น “ดับ” .. “ขณะนี้” สภาพธรรมะ-กำลัง-เกิด-ดับ เพราะฉะนั้น จึง “ไม่ใช่-ตัวตน” เรา ไม่สามารถ ที่จะ ยับยั้ง ให้สภาพธรรมะหนึ่ง สภาพธรรมะใด ที่ “เกิด” .. “ดำรงคงอยู่ได้” .. “ขณะ ที่เห็น” เป็น ขณะเดียวกับ “ขณะ ที่ได้ยิน” หรือเปล่าคะ ถ้า “ไม่ศึกษา” ก็คิดว่า พร้อมกันเลย ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย แต่ ถ้า คิดถึง ขณะที่ สั้นมาก เร็วมาก เช่น “เห็น” ต้องอาศัย จักขุปสาทะ ถ้า ไม่มี จักขุปสาทะ จะไม่มีการเห็นเลย ไม่อยู่ใน อำนาจบังคับบัญชา ของใคร ทั้งสิ้น ใคร ซึ่ง-ไม่มีจักขุปสาทะ แล้วบอกว่า จะเห็น พยายามเห็น ทำให้เห็น ก็ เป็น “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะทั้งหมด ก็ ต้อง “มี-เหตุปัจจัย” ที่ ทำให้ “เกิด” และ เมื่อ สภาพธรรมะนั้น ”เกิด” แล้วก็ “ดับ” สลับกัน รวดเร็ว มาก ทีเดียว เช่น ทางตา ไม่ใช่ทางหู ”จิตเห็น” ไม่ใช่ “จิตได้ยิน” ไม่ใช่ “จิตคิดนึก”
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะมี จิต ซึ่ง เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ สืบต่อกัน อย่างรวดเร็ว แต่ เมื่อ “ไม่ประจักษ์” การเกิดดับ ของ สภาพธรรมะ ก็ “ไม่รู้จัก” ทุกขะอริยะสัจจะ รู้จัก แต่ “ทุกข์” ที่เป็น “ทุกขเวทนา” หรือว่า “ความรู้สึกที่ไม่พอใจ” เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ เราจะต้อง “เริ่ม” .. “ศึกษาธรรมะ” ให้เข้าใจ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง-เป็น-ธรรมะ” และ “เป็น-ธรรมะ ที่มีจริง” ขณะนี้ กำลังเป็น อย่างนั้น แล้ว ที่จะ “เกิด” ธรรมะหนึ่ง ธรรมะใด ได้ ก็เพราะเหตุว่า “ต้อง มี เหตุปัจจัย เฉพาะ สภาพธรรมะนั้นๆ ” เช่น จิตเห็น ก็จะต้องมี จักขุปสาทะ ไม่อย่างนั้น ก็เห็นไม่ได้ จิตได้ยิน ก็ต้องมี โสตะปสาทะ ถ้าไม่มี โสตะปสาทะ จิตได้ยิน ก็มีไม่ได้
ถอดคำบรรยายธรรม โดย ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
เป็นกุศลเจตนา และใช้ความเพียรมากทีเดียว
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ