ต้องอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงขั้นเป็นพระอนาคามีบุคคล สภาพธรรมที่เป็นโทสะนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เพียงขุ่นเคืองใจนิดเดียวก็เป็นอาการของโทสะ กิเลสก็ไม่ใช่มีแต่ โลภะ โทสะ โมหะ เท่านั้น ยังมีบริวารอีกมาก เช่น ความตระหนี่ แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติสิ่งของมากมาย แต่ก็ไม่สามารถสละบริจาควัตถุสิ่งใดเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น การสละสิ่งใดให้เพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นนั้นเป็นจิตประเภทไหน และการไม่สละนั้น เป็นจิตประเภทไหน ถ้าไม่พิจารณาจิตใจของตัวเองแล้วจะไม่รู้เลยว่า มีกิเลสหนาแน่นมากมายเพียงใด มีทั้งความริษยา ความประมาท และอกุศลธรรมอื่นๆ นานาประการ
ฉะนั้น การละกิเลส จึงไม่ใช่ว่าใครนึกจะละก็หัดละไปเรื่อยๆ ก็จะดับกิเลส คือ ความโกรธไม่ให้มีเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวได้ การดับกิเลสนั้นต้องดับเชื้อของกิเลส ที่ทำให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ และ อกุศลธรรมทั้งหลายด้วย
การอบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ตามหนทางปฏิบัติ ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เมื่อเริ่มประพฤติปฏิบัติ ทีละเล็กละน้อย ผลก็จะเกิดขึ้น ทีละเล็กละน้อย ตามควรแก่การปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ว่าพอเริ่มลงมือปฏิบัติ ก็ละโทสะได้ บางคนคิดว่า พอเริ่มศึกษาธรรมก็คงจะเย็นลงไปเยอะ ไม่ค่อยมีกิเลสโลภะ โทสะอะไรเลย หรือหวังว่าคนที่ไปวัด ไปฟังธรรม แล้วกิเลสก็คงจะเบาบางลงมาก ดูเผินๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่กิเลสก็เหมือนเชื้อโรค เมื่อยังไม่มากก็ยังไม่ปรากฏ แต่ก็มีอยู่พร้อมที่จะเกิดเป็นโทษเป็นภัย ฉะนั้น การที่จะดับกิเลสได้จริงๆ นั้น จะต้องอบรมเจริญหนทางปฏิบัติที่ทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทตามระดับขั้นของปัญญา
สาธุ
"แต่กิเลสก็เหมือนเชื้อโรค เมื่อยังไม่มากก็ยังไม่ปรากฏ แต่ก็มีอยู่พร้อมที่จะเกิดเป็นโทษเป็นภัย"
อนุโมทนาค่ะ
ดิฉันพอจะเข้าใจบ้าง ตามที่ท่านอาจารย์ได้บรรยายไว้ และจะพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้นเท่าที่สติปัญญาจะทำได้ค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ