Thai-Hindi 29 Jul 2023
- วันนี้มีอเหตุกจิตบ้างไหม (มี) เมื่อไหร่ (ตอนนี้) เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) มีอเหตุกจิตอะไรเดี๋ยวนี้ (มีเห็น) ก่อนเห็นมีอะไร (มีอาวัชชนะ) ก่อนอาวัชชนะมีอะไร (ภวังค์)
- ต้องมีภวังค์ทุกครั้งก่อนเห็น ก่อนได้ยิน ก่อนได้กลิ่น ก่อนลิ้มรส ก่อนรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก่อนคิดนึกเปลี่ยนได้ไหมไม่ให้เป็นอย่างนี้ แน่ใจหรือยังว่า ไม่มีใครเลยนอกจากธรรม (แน่ใจ)
- ขณะไหนในชีวิตที่มีประโยชน์ที่สุด (เวลาเข้าใจความจริง) ขณะที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม คุณอาช่ามั่นคงไหมขณะที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเพราะเหตุว่า เพียงคำเพียงชื่อจะมีประโยชน์ไหม (มั่นคง) ได้ยินแต่ชื่อ จำเรื่องราวของชื่อ จำเรื่องราวของขณะจิตเป็นชื่อ ตลอดชีวิตมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)
- เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ขณะนี้ไม่ใช่ชื่อแต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ใช้ชื่อ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของแต่ละธรรมได้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้
- รู้จักสิ่งที่กำลังมีขณะนี้แล้วหรือยัง (ยัง) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จึงเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งว่า แม้กำลังมีก็ไม่รู้ความจริงตามที่ได้ฟัง
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังฟังแต่คิดว่า เข้าใจธรรมหมดแล้ว ถูกหรือผิด (ผิด) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้จักจิตหรือยัง กำลังมีจิตใช่ไหม (มีแต่ยังไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นต้องฟังจนกว่าจะรู้ใช่ไหม (ใช่) นี่คือความไม่ประมาทในความลึกซึ้งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศึกษาธรรม ได้ยินชื่อ ฟังแล้วคิดว่าเข้าใจแล้ว ถูกหรือผิด (ถ้าคิดว่ารู้แล้วไม่ถูก) ผิดเลยถ้าไม่มีโอกาสที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเพราะคิดว่า เข้าใจแล้ว
- รู้จักพระคุณที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไหม พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่เรากำลังได้ฟังหรือลึกซึ้งกว่านั้นมาก ถ้าไม่มีใครรู้ความลึกซึ้งของธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เพราะฉะนั้นคุณอาช่ารู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน (นิดๆ หน่อยๆ ) ยินดีไหมที่มีโอกาสเข้าใจความลึกซึ้ง (มีความสุขที่ได้ยิน) ถ้าสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งยินดีใช่ไหม (ใช่) แต่ต้องระวังต้องละเอียด “เรายินดี” ที่ได้เข้าใจความลึกซึ้ง หรือว่า เข้าใจถูกต้องว่า ความเข้าใจความลึกซึ้งเกิดแล้วซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจ ไม่มีคุณอาช่าแต่มีธรรมที่เกิดในขณะที่เกิดเป็น “ปฏิสนธิจิต” เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตของคุณอาช่าเป็นจิตอะไร (กุศลวิบาก) ปฏิสนธิจิตของคุณอาช่าเป็นอเหตุกจิตหรือเปล่า (ไม่)
อะไรที่เป็นอเหตุกะเป็นปฏิสนธิจิตของอะไร (ของผู้ที่เกิดมาพิการ) อเหตุกจิตที่ทำกิจปฏิสนธิได้มีกี่ดวง (เป็นกุศลวิบากก็ได้ อกุศลวิบากก็ได้) มีกี่ดวงอเหตุกจิตที่ปฏิสนธิกิจได้ต้องตอบให้ตรง (ไม่แน่ใจว่าสองหรือสาม)
- เห็นไหมแล้วเราจะไปพูดเรื่องอื่นได้ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นเราไม่ไปรีบร้อนจะรู้จักชื่อแต่กำลังเริ่มเข้าใจความจริงชัดเจนขึ้นที่เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นให้คิดดีๆ อเหตุกจิตที่ทำปฏิสนธิกิจได้มีกี่ดวง (๓) อะไรบ้าง ๓ (สันตีรณอกุศลวิบาก ๑ สันตีรณกุศลวิบากมี ๒)
- สันตีรณะดวงไหนทำปฏิสนธิกิจได้ (ไม่แน่ใจว่า สันตีรณกุศลวิบากทั้ง ๒ ดวงทำปฏิสนธิกิจได้ไหมหรือเฉพาะดวงใดดวงหนึ่ง) เห็นไหม ถ้าเราศึกษาไม่ละเอียด เราไม่เข้าใจความเป็นธรรมเพราะเราจำชื่อ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจว่า ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่เราไม่เคยรู้ว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
- เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยและไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย หมายความว่าอย่างไรมีเหตุเกิดร่วมด้วย ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย (เป็นจิตที่ไม่มีเหตุ)
- เพราะฉะนั้นสันตีรณกุศลวิบากทำไมมี ๒ (ตรงนี้ไม่เคยได้พิจารณาแค่จำได้ว่ามี ๒) เพราะฉะนั้นเราไม่รีบร้อนไปพูดหลายๆ คำ แต่ว่าทุกคำให้เข้าใจมั่นคงจนไม่เปลี่ยนในเหตุในผล นี่เป็นเหตุที่เราพูดถึงอเหตุกะทุกครั้งเพราะว่ามีอเหตุกะทั้งวัน แต่ไม่เคยรู้เลยไปคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่า
- เพราะฉะนั้นฟังให้ละเอียดขึ้น อเหตุกกุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วย (ขอทวนคำถามใหม่) เพราะฉะนั้นอเหตุกะที่เป็นสันตีรณกุศลวิบากต้องเป็นผลของกุศลต่างกันอย่างไร (ไม่แน่ใจในคำถาม)
- คำถามคือให้มั่นคงในจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เพราะวันนี้จะไม่พูดถึงจิตอื่นนอกจากจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย นี่คือความละเอียดความลึกซึ้งที่จะต้องเห็นความลึกซึ้งยิ่งขึ้นที่จะศึกษาธรรมต่อไปได้ว่า ไม่มีเราแต่เป็นธรรมเพราะถ้าไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง ได้ยินอะไรก็เป็นเรา
- จิตเห็นขณะนี้เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก (ไม่ทราบ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้) ถูกต้องเพราะเกิดดับเร็วมากแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ผลของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมทำให้เกิดขึ้นเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ ทาง แต่ความต่างของกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของกุศลและความต่างของอกุศลวิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลต่างกันอย่างไรในขณะที่เห็น
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก (เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดเราไม่สามารถรู้) ถูกต้อง แต่สามารถจะรู้ได้ว่า เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม ผลต้องเกิดขึ้น “เห็น” เป็นเหตุให้เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบางอย่างน่าพอใจ บางอย่างไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นผลของกรรมที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าพอใจ
- ในนรกมีสิ่งที่น่าพอใจไหม (ไม่มี) จิตที่เห็นในนรกเป็นจิตอะไร (ส่วนใหญ่เป็นอกุศลวิบากแต่ไม่ใช่ตลอด) เพราะฉะนั้นไม่มีใครบอกได้ว่า ขณะนี้เป็นอกุศลวิบากหรือกุศลวิบากเพราะ ๑ ขณะเร็วมาก
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มีใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นศึกษาให้รู้ความละเอียดของธรรมเพื่อรู้ว่า ไม่มีเรา
- ถ้าบอกว่า “ทุกอย่างเป็นธรรมไม่มีเรา” พอไหม (ไม่พอ) บางคนคิดว่า ศึกษาธรรม อยากรู้เรื่องนั้น อยากรู้เรื่องนี้แต่ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ อะไรเป็นประโยชน์ (ถ้าไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์)
- เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องอื่นเยอะๆ ดีไหม (ไม่เป็นประโยชน์) เพราะฉะนั้นพูดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินทุกครั้งที่พบกันจะมีประโชน์ไหม (มีประโยชฯ์) เบื่อไหม เบื่อหรือยัง (ยังไม่เบื่อ) เพราะฉะนั้นพูดเรื่องสันตีรณจิต ใครไม่มีสันตีรณจิตบ้าง (ไม่มี) แต่ไม่มีใครรู้ใช่ไหมว่า เดี๋ยวนี้มีสันตีรณจิตเมื่อไหร่ (ใช่)
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดเพื่อให้แต่ละคนรู้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรมแต่ละ ๑ เท่านั้น
- เดี๋ยวนี้สันตีรณจิตปรากฏหรือเปล่า (ไม่ปรากฏ) ถูกต้องแต่มีสันตีรณจิตใช่ไหม (ใช่) สันตีรณจิตทั้งหมดมีกี่ดวง (๓) สันตีรณจิตดวงไหนทำปฏิสนธิกิจได้ (รู้ว่าเป็นกุศลก็ได้อกุศลก็ได้แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า กุศลวิบากทั้ง ๒ ทำกิจปฏิสนธิทั้ง ๒ ดวงหรือเปล่า) เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงเหตุผล ถ้าเป็นผลของกุศลเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ให้ผลก็ทำให้กุศลวิบากสันตีรณที่เป็นอุเบกขาเท่านั้นทำกิจปฏิสนธิ
- เพราะฉะนั้นอเหตุกสันตีรณอกุศลวิบากกับอเหตุกสันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่ขณะหลับอันหนึ่งเป็นผลของกุศล อันหนึ่งเป็นผลของอกุศล)
- อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากกับอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิได้ต่างกันอย่างไร (อาจารย์ถามใหม่) เราพูดถึงสันตีรณกุศลวิบากกับอกุศลวิบากที่เป็นอุเบกขาจึงสามารถทำปฏิสนธิกิจได้แต่ทำปฏิสนธิกิจต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากต้องเกิดในอบายภูมิและถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากก็เกิดในสุคติภูมิ) ต่างกับเวลาที่กุศลวิบากที่ประกอบด้วยเหตุทำกิจปฏิสนธิอย่างไร
- (คุณอาช่ามีปัญหาเรื่องสัญญาณ) ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้เราจะพูดเรื่องสันตีรณะให้ชัดเจน ต้องคิดถึงหลายอย่าง ประกอบด้วยเหตุหรือไม่ประกอบด้วยเหตุ เกิดกับอุเบกขาหรือเกิดกับโสมนัส มีความต่างกันอย่างไร ทำกิจอะไรได้บ้าง
- (คุณอาช่าตอบคำถามว่า สันตีรณที่ทำกิจปฏิสนธิต่างกันตรงที่ถ้าเกิดในภูมิมนุษย์อันนึงพิการอีกอันนึงไม่พิการ) กำลังจะพูดถึง อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากปฏิสนธิกับอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากปฏิสนธิต่างกันอย่างไร (ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำให้เกิดในมนุสสภูมิ)
- และถ้าไม่ใช่อเหตุกสันตีรณกุศลวิบากแต่เป็นกุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุต่างกับกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิที่ประกอบด้วยเหตุหรือเปล่า (ต่างกันที่สันตีรณกุศลวิบากทำให้เกิดในสุคติภูมิแต่พิการแต่ถ้าเป็นกุศลวิบากที่มีเหตุเกิดร่วมด้วยทำให้เกิดในสุคติภูมิที่เป็นปกติไม่พิการ)
- ก็ดีมากที่เข้าใจและคุณอาช่าจากโลกนี้ไปแล้วจะเกิดเป็นอะไรได้บ้าง (คุณมธุตอบแทนว่า ไม่มีใครทราบ) แน่นอนต้องเกิดแน่นอนไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอะไร แต่จะเกิดเป็นอะไรได้บ้าง ทุกคนก็ต้องตายและต้องเกิด อยากจะทราบว่า ตายแล้วจะเกิดเป็นอะไรได้บ้าง (คุณมธุจำได้เพียงว่า เกิดในอบายภูมิกับสุคติภูมิแต่จำรายละเอียดไม่ได้)
มีเหตุที่จะให้เกิดที่หนึ่งที่ใดได้ไหม (มีเหตุ) ทีละ ๑ ว่าเกิดเป็นอะไรได้บ้าง (คุณมธุจำได้ว่าถ้าเหตุเป็นกุศลผลก็ต้องเป็นกุศลตามนั้น ถ้าเหตุเป็นอกุศลผลก็ต้องเป็นอกุศล) นี่ไงเราถึงกำลังจะพูดเรื่องสันตีรณะให้มั่นคงขึ้นจนกระทั่งถามอะไรก็ตอบได้ ไม่ใช่จำไม่ได้ คิดไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ แต่ละ ๑ ธรรม เพราะว่ามีธรรมที่ลึกซึ้งกว่านี้อีก เพื่อให้มีความเข้าใจธรรมเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นได้
- คำถามต้องฟังดีๆ ถามว่า ทุกคนต้องตายวันนี้ก็ได้และต้องเกิดด้วย เขารู้ไหมว่าจะเกิดเป็นอะไร แม้ไม่รู้ก็รู้ว่าจะต้องเกิดเพราะจิตอะไร ประเภทไหน ที่ไหน เพราะฉะนั้นถามว่า เขาจะเกิดที่ไหนได้บ้าง (เกิดในอบายภูมิได้) เท่านี้สั้นๆ จากโลกนี้ไปไม่มีคุณอาช่าอีกแล้วแต่จะมีการเกิดเป็นอะไรได้บ้างทีละ ๑ ถามสั้นๆ ตอบสั้นๆ (ตอนนี้พูดถึงผลของอกุศล)
- ไม่ได้ถามอย่างนั้นแต่ถามว่า คุณอาช่าตายต้องเกิดแน่ จะเกิดเป็นอะไรได้บ้างทีละ ๑ ไปช้าๆ แต่ให้เข้าใจจริงๆ ไม่งั้นเดี๋ยวก็ลืม (เป็นสัตว์เดรัจฉาน) เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ใช่ไหม เป็นผลของกรรมอะไร (อกุศลกรรม) อกุศลกรรมอะไร ลองบอก (สันตีรณอกุศลวิบาก)
- ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว ธรรมละเอียดต้องฟังคำตอบเพื่อให้มั่นคง ดิฉันจะถามเรื่องต่างๆ เพื่อเป็นการทดสอบว่า ความเข้าใจที่ได้ฟังมาจะตอบตรงไหม เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นถามเขาว่า ที่เกิดเป็นสัตว์เป็นผลของอกุศลกรรมอะไร เพื่อจะได้ดูว่าเขารู้จักอกุศลกรรมอะไรบ้าง (เป็นผลของอกุศลกรรม) ถามว่า “อกุศลกรรม” อะไรบ้าง (ฆ่าใคร ทำร้ายใคร ขโมยของเป็นต้น)
- อกุศลกรรมทางกายก็ได้ ทางวาจาก็ได้ ทางใจก็ได้ เป็นความละเอียดว่า ระดับไหนจะเป็นกรรมให้ผลซึ่งสามารถที่จะอ่านในพระไตรปิฎกได้ ในชีวิตของคนซึ่งจากความเป็นพระราชินีไปเกิดเป็นหนอนเพราะกรรมอะไร
- ตอนนี้คำถามเรื่องเกิดในอบายภูมิไม่มีปัญหา เกิดในนรกก็ได้ เปรตก็ได้ อสุรกายก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ ปฏิสนธิจิตเป็นอะไร (เป็นอกุศลสันตีรณะ) เป็นผลของอกุศลกรรมทุกชนิดที่ทำให้มีจิตเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผลของกรรมที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ จิตเดียวเท่านั้น เลือกไม่ได้เลยเพราะอาจจะเป็นอกุศลกรรมในชาตินี้ ชาติก่อน หรือในสังสารวัฏฏ์ก็ได้ที่ถึงเวลาจะให้ผลก็ต้องให้ผล
- คุณอาช่าขอไปเกิดบนสวรรค์แล้วเกิดบนสวรรค์ได้ไหม (ไม่ได้) นี่คือความเข้าใจธรรมจริงๆ ไม่มีใครและธรรมละเอียดไม่มีใครรู้ว่า จากโลกนี้ไปกรรมใดจะให้ผลทำให้เกิดเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ต้องเกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะในภูมิหนึ่งภูมิใดในอบายภูมิ
- และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมทำให้เกิดที่ไหนบ้างเป็นอะไรบ้าง (ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมจะเกิดเป็นเทวดาก็ได้เป็นมนุษย์ก็ได้ในสุคติภูมิ) และการเกิดที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะกับการเกิดด้วยมหาวิบากต่างกันอย่างไร (ถ้าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจะเกิดเป็นคนพิการและถ้าเป็นวิบากที่มีเหตุด้วยจะเป็นไม่พิการ)
- อเหตุกจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่ (๑๘) อเหตุกะกี่ดวงทำกิจปฏิสนธิได้ (๓) ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นกุศลวิบากที่เป็นสันตีรณะประกอบด้วยอุเบกขาเพราะเป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อน แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่อย่างอ่อน เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมทั้งหมดไม่ว่าอะไรทำให้เกิดอุเบกขาสันตีรณะ ๑ เท่านั้นแต่ถ้ากุศลกรรมมีอย่างอ่อนมากและก็มีกำลังมีเหตุประกอบด้วย ทำให้สันตีรณะเพิ่มขึ้นจากอุเบกขาสันตีรณะที่เป็นอเหตุกะเป็นอุเบกขาสันตีรณะที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาในขณะที่รู้อารมณ์ที่น่าพอใจ ขณะนั้นเบิกบานได้มีความยินดีในอารมณ์ที่น่าพอใจ แต่ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์และไม่ใช่อุเบกขาสันตีรณะต้องเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังกว่าอุเบกขาสันตีรณะ และขณะนั้นอุเบกขาสันตีรณะที่เป็นผลของกุศลกรรมสามารถจะเกิดร่วมด้วยกับสันตีรณะแต่ทำปฏิสนธิกิจไม่ได้เพราะถ้ามีกำลังกว่านั้นปฏิสนธิกิจต้องเป็นกุศลวิบากที่ไม่ใช่สันตีรณะ
- (สรุปแล้วจากเป็นผลของกุศลกรรม ... ) อย่างอ่อนหรืออย่างมีกำลัง ถ้าเป็นสันตีรณะที่มีโสมนัสเกิดร่วมด้วยเพราะเหตุว่า เป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยโสมนัสต้องมีกำลังกว่าอุเบกขาสันตีรณะที่รู้อารมณ์แต่ทำกิจปฏิสนธิไม่ได้เพราะถ้าทำกิจปฏิสนธิต้องเป็นผลของกุศลกรรมที่มีกำลังที่ประกอบด้วยเหตุ (เพราะฉะนั้นสันตีรณะ…) กุศลวิบากอเหตุกทำปฏิสนธิไม่ได้เพราะถ้าเป็นผลของกุศลที่มีกำลังต้องเป็นมหาวิบาก
- เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกุศลกรรมอ่อนๆ เล็กๆ น้อยๆ ทำให้มีผลคือ อุเบกขาสันตีรณะ แต่ว่าถ้ามีกำลัง อารมณ์ดีเป็นโสมนัส แต่ว่าการเกิดถ้าเป็นกุศลกรรมที่มีกำลังจะไม่เกิดในอบายภูมิ ต้องเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำให้เกิดมหาวิบากไม่ใช่อุเบกขาสันตีรณะทำปฏิสนธิ แต่เป็นมหาวิบากที่ทำปฏิสนธิเพราะเป็นกุศลที่มีกำลัง
- (เพื่อความแน่ใจสรุปแล้วถ้าเป็นผลของกุศล..) ที่มีกำลัง (ที่มีกำลัง..) ทำให้มหาวิบากทำปฏิสนธิไม่ใช่อุเบกขาสันตีณกุศลวิบาก (ถ้าเป็นมนุษย์ที่ปกติจะเป็นสันตีรณกุศลวิบากที่เกิดกับโสมนัสไม่ได้) ต้องเป็นมหาวิบากเพราะเป็นกุศลที่มีกำลัง
- คุณอาช่าที่เป็นคุณอาช่าชาตินี้ปฏิสนธิจิตคืออะไร (เป็นจิตที่มีเหตุ) เป็นมหาวิบากไม่ใช่อุเบกขาสันตีรณะ เขาสงสัยหรือชัดเจนมั้ย ถ้าเป็นผลของกุศลที่มีกำลังปฏิสนธิจิตต้องประกอบด้วยเหตุเป็นมหาวิบาก เพราะฉะนั้นอเหตุกะ ๑๘ ดวงทำปฏิสนธิกิจได้ ๒ ดวง ไม่ใช่ ๓ เข้าใจในเหตุผลมั้ย (เข้าใจ)
- กุศลเล็กน้อยๆ ที่คุณอาช่ากระทำ เวลาให้ผลทำให้เกิดเพราะเป็นกุศลจึงไม่เกิดในอบายภูมิแต่เกิดเป็นมนุษย์ที่พิการเพราะเป็นผลของกุศลกรรมเล็กๆ น้อยๆ ความต่างกันที่เป็นเหตุ มีเหตุเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย
- ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ปฏิสนธิจิตเป็นอะไร (ต้องเป็นกุศลวิบาก) ถูกต้องเป็นอุเบกขาสันตีรณะได้ไหม (ก็ได้) อุเบกขาสันตีรณะเป็นผลของกุศลกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีกำลังแต่ถ้าเป็นกุศลกรรมที่มีกำลังแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาต้องเกิดด้วยมหาวิบากเป็นผลของกุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้ามีกำลังมากก็เกิดเป็นเศรษฐีร่ำรวยแต่ไม่ได้เข้าใจธรรม
- เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเป็นคุณอาช่าเป็นจิตอะไร (เป็นจิตที่มีเหตุแต่กี่เหตุไม่ทราบ เกิดกับปัญญาหรือไม่) เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่า เหตุคือกุศลต้องประกอบด้วย อโลภะ อโทสะ แต่ถ้าไม่เป็นไปในเรื่องของปัญญาก็ไม่มีปัญญาเจตสิกในกุศลนั้นเป็นเหตุให้เกิดในสุคติภูมิแต่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยเป็นผลของกรรมที่ได้ทำ
- เพราะฉะนั้นกำลังเข้าใจธรรม คุณอาช่าจิตที่ปฏิสนธิเป็นจิตอะไร (ถ้าเป็นอย่างนั้นผลออกมามีปัญญาด้วย) เพราะฉะนั้นปฏิสนธิเป็นมหาวิบากมีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิกถ้าเข้าใจธรรมแต่ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่จำชื่อ
- แต่ไม่มีใครรู้จากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นผลของกรรมอะไร ชาติไหน มีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เป็นกุศลเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ผลทำให้ปฏิสนธิ หรือว่าเป็นผลของอกุศลกรรม
- คุณอาช่าและทุกคนที่ฟังเข้าใจแล้วใช่ไหม อเหตุกจิตทั้งหมดมีเท่าไหร่ (๑๘) ทำปฏิสนธิกิจได้กี่ดวง (๒) กุศลเล็กๆ น้อยทำให้อกุศลวิบากสันตีรณะทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ได้) เดี๋ยวนะคะ ฟังคำถามดีๆ กุศลกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้ผลทำให้อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากเกิดได้ไหม (ไม่ได้) กุศลกรรมเล็กๆ น้อยๆ ทำให้อเหตุกะทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ได้) ทำให้ปฏิสนธิเกิดได้ๆ ไหม (ได้) กุศลกรรมที่มีกำลังมากๆ ทำให้อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ทำกิจปฏิสนธิไม่ได้แต่ทำให้โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากเกิดได้
- สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในบ้านของมหาเศรษฐีหรือพระราชวังเห็นสิ่งที่น่าพอใจได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ใดๆ ก็ตามแต่ สามารถที่จะมีโสมนัสสันตีรณอเหตุกะได้ไหม (ได้) แต่ส่วนใหญ่เป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก
- มนุษย์มีอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากได้ไหม (ได้) เมื่อไหร่ (ถ้าเห็นธรรมดาทั่วไปทั้งวันเป็นอุเบกขาแต่ถ้าเห็นดีมากตอนนั้นเป็นโสมนัสแน่นอน) เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็มีอเหตุกอกุศลวิบากใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บมากๆ เป็นจิตอะไร (อกุศลวิบาก) และขณะที่สบายมากไม่เจ็บปวดอะไร เป็นจิตอะไร (กุศลวิบาก)
- เพราะฉะนั้นทางตาขณะไหนเป็นอเหตุกอกุศลวิบาก (เวลาเห็นอนิฏฐารมณ์ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ๓ ขณะนี้เป็นอกุศลวิบาก) ก็ถูกต้อง แน่ใจไหมว่าไม่มีอะไรสงสัยในอเหตุกะ ๑๘ ดวง
- (จริงๆ มีคำถามเยอะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีแต่รู้ว่าฟังไปก็ต้องมีคำถามเกิดขึ้นเพราะรู้ว่ายังไม่มั่นคงและอยากจะรู้) เป็นประโยชน์ไหมที่จะรู้ว่า ชีวิตประจำวันเป็นธรรมทั้งหมดแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม
- ต้องไปหาธรรมที่อื่นหรือว่ามีธรรมเดี๋ยวนี้ที่เริ่มเข้าใจความจริงของธรรมนั้นๆ นี่เป็นความมั่นคง ทุกอย่างเป็นธรรมใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นทุกขณะที่เข้าใจเป็นสัจจบารมี เป็นอธิษฐานบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี เนกขัมมะบารมี ถูกต้องไหม ไม่มีใครเลยแต่เป็นธรรมที่เริ่มเข้าใจความจริงของธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง
- เพราะฉะนั้นขณะที่มีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ ขณะที่มีความเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ไม่ใช่เพียงฟังแล้วคิดว่า ง่าย จำได้ เข้าใจหมดแล้ว
- เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้งอย่างไร (ความลึกซึ้งคือ รู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังทุกอย่างมีจริงแต่ฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้จริง และยิ่งได้ฟังว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ เห็นเกิดแล้วดับ ยังอีกไกลมากที่จะรู้ตรงนี้เพราะเกิดอยู่แต่ไม่รู้) เพราะฉะนั้นลึกซึ้งเพราะขณะนี้เป็นอย่างที่พูด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นแต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ความลึกซึ้งแค่ไหน
- คราวหน้าเราจะทบทวนเรื่องอเหตุกจิตทั้ง ๑๘ และกิจและความรู้สึกคือ เวทนา ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอเหตุกจิตคราวหน้า หมายความว่า คราวหน้าเราจะทบทวนเรื่องจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุทั้งหมดและกิจหน้าที่ของอเหตุกจิตแต่ละ ๑ ด้วย
- เพราะถ้าเราเข้าใจมั่นคงในจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๘ ดวง จิตอื่นทั้งหมดประกอบด้วยเหตุ เพราะไม่มีเราแต่มีจิตทุกขณะเป็นจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลยและมีจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ถ้าเพียงฟังและจำได้แต่ไม่เข้าใจจะไม่ถึงความลึกซึ้งของธรรมที่จะละความเป็นตัวตนได้
- ต้องไม่ลืม ฟังธรรม “เพื่อเข้าใจ” จริงๆ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น วันนี้ก็ขอบคุณคุณสุคินมากที่ช่วยให้คนได้เข้าใจ สวัสดีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาคุณสุคินและสหายธรรมชาวอินเดียทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณอัญชิสา (คุณสา) และคุณจิรัชพรรณ์ (คุณซี) ในความช่วยเหลือตรวจทาน
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาในกุศลอาจารย์คำปั่นและอาจารย์ มศพ ทุกท่านทุกประการครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ ทุกคำ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง
และยินดีในกุศลของผู้ช่วยตรวจทาน และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิค่ะ
ยินดีในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง