ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๑ (ต่อ) บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
พระผู้มีพระภาค ตรัสกะท่านพระสารีบุตร ต่อไปว่า "ดูกร สารีบุตร ก็สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์แล้ว ทั้งหมดนั้น พิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำให้บิณฑบาตนั้นบริสุทธิ์ได้สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้จักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ในอนาคต ทั้งหมดนั้น ต้องพิจารณาแล้วอย่างนี้จึงจักทำบิณฑบาต ให้บริสุทธิ์ได้."
นี่ตรัสไว้ ก่อนที่จะทรงดับขันธปรินิพพานให้เห็นว่า บุคคลในอดีตได้เจริญอย่างไร แม้ในอนาคต ก็จะต้องเจริญเหมือนกัน อย่างนั้น
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้กำลังทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์อยู่ในบัดนี้ทั้งหมดนั้น ย่อมพิจารณาแล้วพิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงสำเหนียกว่า จักพิจารณาแล้วจักพิจารณาแล้ว ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ ดูกร สารีบุตร พวกเธอพึงสำเหนียกไว้ อย่างนี้แล"
พระผู้มีพระภาคฯ ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้วท่านพระสารีบุตร จึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์
พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า "ภิกษุ มีธรรม เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม ระลีกถึงธรรมอยู่ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม ดังนี้"
(พรรณนา ภิกขุวรรค จาก หนังสือธรรมบทสังคหะ)
มีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม....
ขออนุโมทนาค่ะ.....
คำว่า...ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์...หมายความว่าอะไรคะ
ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยอธิบาย คำว่า ทำบิณฑบาตให้บริสุทธ์ ด้วยค่ะ จากความเห็นที 2 คุณ janyapinpard ค่ะ เมตตาเองก็อยากทราบความหมายด้วยค่ะ พระสูตรมีความไพเราะและลึกซึ้งมากค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอความกรุณาท่านวิทยากรอธิบายขยายความด้วยคะ
ขออนุโมทนา
ในอรรถกถาปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร ท่านมิได้แก้ไว้ว่าหมายถึงอย่างไร?แต่เมื่ออ่านข้อความจากพระสูตรทั้งหมด คำว่า "การทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์"ควรมุ่งหมายถึงตัวผู้รับอาหารบิณฑบาต ไม่มีกิเลสคือความติดข้อง ความขัดเคืองหรือความลุ่มหลงใดๆ เลย คือเป็นผู้ไม่มีอกุศล อยู่ด้วยปีติและปราโมทย์...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ปล.กระทู้นี้ มีเนื้อหาต่อจากกระทู้ ความสงบ ครับ
ภิกษุพิจารณาอาหารที่เขาถวายมา เราควรประพฤติธรรมให้ยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้รับได้รับอานิสงส์ผลของทาน พิจารณาอาหารก่อนบริโภค ไม่ใช่มัวเมาในรส ไม่ใช่เพื่อเล่นเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาที่เกิดจากความหิว และเพื่อให้มีชีวิตอยู่ประพฤติธรรมค่ะ
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณ อาจารย์ prachern.s ค่ะ
ขออนุโมทนาคุณ wanneeและคุณปริศนาค้วยค่ะ
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ภิกษุเป็นเนื้อนาบุญ แก่ทายกผู้ศรัทธาเมื่อรับทาน จากทายกผู้ศรัทธาแล้วย่อมไม่มัวเมาในทาน แต่พิจารณาว่าทานนั้น เพื่อสิ่งใดด้วยความเห็นถูกและปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบต่อๆ ไป เมื่อยังอัตภาพด้วยบิณฑบาตจากทายกผู้ศรัทธาย่อมไม่ประมาทและ "บิณฑบาตจะบริสุทธิ์" ได้พึงพิจารณา พึงทำกิจที่ควรของภิกษุ ตามที่ควร ดังคาถาที่พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
"...พึงพิจารณาอย่างนี้แล้วเทียว จึงทำบิณฑบาตรให้บริสุทธ์ได้" "ตรัสว่า ดูกร สารีบุตร เธอพึงสำเหนียกไว้ อย่างนี้แล" (ดังที่กล่าวไว้ทั้งหมด ในกระทู้ ๙๖๘๐) คือ โพธิปักขิยธรรม ธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ นั่นเอง และท่านอาจารย์สุจินต์ได้กรุณาขยายความไว้ ดังกล่าว แม้ฆราวาส ก็ควรทราบว่าภิกษุ ท่านมีกิจอย่างไร ท่านมีคุณธรรมอย่างไร ท่านเป็นบุตรแห่งพระศาสดาอย่างไร บุตรย่อมทำหน้าที่ตามผู้สอน คือพระศาสดาด้วยความเคารพอย่างไร เมื่อภิกษุปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความเป็นพระอริยสาวกย่อมเป็นเหตุแห่งความเลื่อมใส ศรัทธา
ความศรัทธาเป็นเหตุแห่งการศึกษาพระสัทธรรมของฆราวาสด้วยจึงเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านและประโยชน์สูงสุดคือ การดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมตราบใดที่ศรัทธายังไม่เสื่อมไปใน พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณและศรัทธานี้เองจะเป็นอาหารของสติปัฏฐาน และการเจริญกุศลทุกประการเพื่อการดับทุกข์ ตามรอยพระศาสดาพระอริยสาวกทั้งหลาย
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ