ภิ. การเจริญสติปัฏฐานมี ๔ คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ท่านอรรถกถาจารย์ อุปมาเหมือนประตูเมืองทั้ง ๔ ถ้าใครเข้าประตูใดประตูหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นประตูทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ก็เข้าไปจนถึงกลางเมืองได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ก็มีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ว่า ไม่จำเป็นต้องเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ เอาแค่กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพียงอย่างเดียวพอ เพราะอรรถกถาท่านแก้ไว้ว่า เข้าประตูใดประตูหนึ่งก็ถึงกลางใจเมืองเหมือนกัน กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้เจริญอย่างเดียวจะถึงพระนิพพานไหมครับ
อ. การเจริญปัญญาเป็นเรื่องละเอียดมาก ไม่ใช่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดอ่านอรรถกาแล้วปฏิบัติได้ ประตูอยู่ที่ไหน ถ้ายังไม่ทราบเลยว่าประตูอยู่ที่ไหนแล้วจะเข้าประตูไหน
ภิ. ประตูก็คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นเอง
อ. เมื่อประตูคือ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วรู้อะไรที่กายซึ่งจะต้องพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ สภาพธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นขันธ์อายตนะ ธาตุ อริยสัจจ์ ก็ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะเป็นนามธรรมคือ สภาพรู้ ๑ และ เป็นรูปธรรมคือ ไม่ใช่สภาพรู้ ๑ การเข้าใจเช่นนี้ไม่ใช่การประจักษ์แจ้งลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมและรูปธรรม ในขั้นการฟังนั้นไม่สงสัยเลยว่ารูปธรรมมีจริง รูปเกิดขึ้นปรากฏทางตาเป็นสีสันต่างๆ เสียงเป็นรูปที่ปรากฏทางหู กลิ่นเป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก รสเป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น เป็นต้น และนามธรรมก็มีจริง เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ โดยขั้นการฟังนั้น เข้าใจได้ถูกต้อง
แต่การที่ปัญญาจะรู้ลักษณะนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้นั้นจะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ระลึกรู้ ฉะนั้น การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างเดียว จะทำให้รู้ลักษณะของนามธรรมได้หรือ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้ในขณะที่กำลังเห็นพิจารณาศึกษารู้ว่าเป็นเพียงสภาพรู้อย่างหนึ่ง ขณะได้ยินก็ระลึกได้พิจารณาเข้าใจลักษณะของนามธรรมที่ได้ยินเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นสภาพรู้เสียง
เมื่ออบรมเจริญสติ ศึกษา พิจารณาเข้าใจและรู้ลักษณะของนามธรรมทางตา ทางหู ฯลฯ บ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาก็จะรู้ได้ว่ายังมีนามธรรมอื่นๆ อีกที่จะต้องระลึกรู้ จนกว่าลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้หรืออาการรู้นั้น จะปรากฏจริงๆ ให้ประจักษ์แจ้งว่าเป็นแต่เพียงธาตุรู้ อาการรู้ ซึ่งไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน
ถ้าผู้ใดจะระลึกเพียงลักษณะของนามธรรมที่ได้ยินแต่ไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมที่กำลังเห็นเลย มีความตั้งใจพากเพียรที่จะรู้เพียงลักษณะของนามธรรมที่ได้ยินเสียงเท่านั้น จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้จริงๆ ในขณะที่เห็นได้ไหม พิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่าไม่เป็นเช่นนั้นเลย
ฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาโดยสติระลึกรู้พิจารณาศึกษาเข้าใจลักษณะของนามธรรม ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เพื่อที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้จนหมดสงสัยจริงๆ เมื่อสติเกิดและปัญญาพิจารณารู้ลักษณะของนามธรรม ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจโดยทั่วแล้ว ก็ละคลายความสงสัยในลักษณะของนามธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ไปทีละเล็กละน้อยจนกว่าปัญญาความรู้ชัดลักษณะของสภาพธรรมจะเพิ่มขึ้นๆ เป็นลำดับ
แต่ถ้าผู้ใดต้องการรู้เพียงนามเดียวเท่านั้น ก็แสดงว่ายังต้องมีความไม่รู้และความสงสัยในลักษณะของนามธรรมอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ การที่จะขจัดความสงสัยความไม่รู้ในลักษณะของธาตุรู้นั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เพียงลักษณะของนามธรรมเดียว เพราะถ้ารู้เพียงนามธรรมเดียวเท่านั้นจริงๆ ก็แสดงว่าไม่รู้สภาพธรรมอื่นแน่ๆ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ