ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรม ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๔ บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปบันทึกเสียง โดย คุณสงวน สุจริตกุล
"ความเป็นธรรม" ปรากฏกับ สติ-สัมปชัญญะ ได้เป็นปกติ ... เป็นธรรมดา เป็นปกติ ... เป็นธรรมดาเพราะเหตุว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ขณะปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิต ... เกิดแล้วก็ดับไปต่อจากนั้น ก็เป็น "ปวัตติกาล" คือ ต้องมีความเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัยซึ่ง "ปฏิสนธิจิต-ได้ประมวลมาแล้ว" นั่นเอง.!ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือ คิดนึกจนกระทั่ง หลับไป แล้วก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็ เห็น ได้ยิน ฯลฯ ต่อไปอีกแต่ละขณะจิต เป็นไปตาม "ปัจจัย" ที่ได้สะสมมาแล้วนั่นเอง
แม้ถึงขณะสุดท้าย คือ จุติจิตเกิดที่จะพ้นจากสภาพความเป็นบุคคลในชาตินี้เกิดขึ้นขณะไหน เมื่อไร ก็ได้.แต่ละชีวิต ไม่มีใครเลือกได้เลย การศึกษาพระธรรมเริ่มต้นจาก การศึกษาเรื่องราวของพระธรรมจนกระทั่ง เริ่ม-เข้าใจ-เข้าถึง-ลักษณะของสภาพธรรม-ที่กำลังปรากฏได้ตามปกติ ... ตามความเป็นจริง.!การศึกษาพระธรรม ... ไม่ใช่ศึกษา-ตามตำรา เท่านั้นแต่ทั้งหมด ที่ศึกษา "อย่างละเอียด" ก็เพื่อให้เกิด "ความเห็นถูก"ความเห็นถูก ใน "ความเป็นอนัตตา" ของสภาพธรรมทั้งหลายเพราะ สภาพธรรมทั้งหลาย เป็น "ธาตุ" แต่ละอย่างเกิด-ดับ-เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย..เพื่อ "เข้าใจ"เข้าใจ ... ในสิ่งที่กำลังปรากฏ "ในขณะนี้" โดย "เริ่มต้น" จาก "การฟัง-พระธรรม"ฟังพระธรรม จนกว่าจะรู้จริง ถึง "ลักษณะ" ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้รู้ได้สิ่งที่มีจริง คือ "ธรรม" ปรากฏให้รู้ได้ เป็น "ปกติ"
ศึกษาพระธรรม ... เพื่อ "ความเข้าใจ-ที่มั่นคง" ว่า "ธรรม" ... สิ่งที่มีจริง เป็น "ธรรม-แต่ละอย่างๆ " ซึ่งมี "ลักษณะ-ที่หลากหลาย"ศึกษาพระธรรมจนกว่าจะเริ่มเข้า-ถึง-ลักษณะของ "ธรรม" ที่กำลังปรากฏ"ธรรม" ปรากฏเป็นแต่ละ "ลักษณะ"ปรากฏ ... ด้วยความเป็น "ปกติ"ถ้า "ผิด-ปกติ"ก็ "เป็นเรา" ด้วยความไม่รู้ หรือ ด้วยความต้องการ.! "เป็นเรา" ที่เข้าใจผิด ใน "ความเป็นอนัตตาของธรรม""ธรรม" เป็น อนัตตาเพราะ "ธรรม" เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา หรือ ของใคร.ถ้า "ผิด-ปกติ" ก็ไม่เป็น "ธรรม"
ขออนุโมทนา
ศึกษาพระธรรมโดย "เริ่มต้น" จาก "การฟัง-พระธรรม"ฟังพระธรรม ... จนกว่าจะ-รู้จริง ใน "ลักษณะ" ของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ได้.สิ่งที่มีจริง คือ "ธรรม" ปรากฏให้รู้ได้ เป็น "ปกติ"การฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจ ... เข้าใจ เป็น "ปกติ"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ถ้า "ผิด-ปกติ" ก็ไม่เป็น "ธรรม"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
กราบอนุโมทนาในธรรมทานของท่านอาจารย์ และทุกๆ ท่านค่ะ
ถ้า "ผิด-ปกติ"ก็ "เป็นเรา" ด้วยความไม่รู้ หรือ ด้วยความต้องการ "เป็นเรา" ที่เข้าใจผิด ใน "ความเป็นอนัตตาของธรรม"
ขอความกรุณาอธิบายข้อความที่ยกมานี้ด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ศึกษาพระธรรม ... เพื่อ "ความเข้าใจ-ที่มั่นคง" ว่า "ธรรม" ... สิ่งที่มีจริง เป็น "ธรรม-แต่ละอย่างๆ " ซึ่งมี "ลักษณะ-ที่หลากหลาย"
"ธรรม" เป็น อนัตตาเพราะ "ธรรม" เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา หรือ ของใคร ถ้า "ผิด-ปกติ" ก็ไม่เป็น "ธรรม"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ จากข้อความที่ว่า
ถ้า "ผิด-ปกติ" ก็ "เป็นเรา" ด้วยความไม่รู้ หรือ ด้วยความต้องการ "เป็นเรา" ที่เข้าใจผิด ใน "ความเป็นอนัตตาของธรรม"
ขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ เป็นปกติ เห็นเกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นปกติ ได้ยินเป็นปกติ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏเป็นปกติ การจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็คือขณะนี้ เป็นปกติ ไม่ต้องไปหาสภาพธรรม เพราะขณะที่ไปหาสภาพธรรมที่อื่น มีความต้องการจะรู้ในสภาพธรรมที่อื่น ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีสภาพธรรม ก็ผิดปกติด้วยความไม่รู้และความต้องการที่อยากจะรู้ ทั้งๆ ที่กำลังมีสภาพธรรมที่มีในขณะนี้อยู่แล้วครับ
ขณะที่อยากจะรู้ จะทำปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมว่าสติและปัญญา เป็นอนัตตา ไม่มีการบังคับจะไปรู้ในสภาพธรรมใด ขณะที่จะพยายามรู้ในสภาพธรรม ด้วยความต้องการ มีโลภะ ขณะนั้นก็ผิดปกติด้วยอกุศลเพราะลืมความเป็นอนัตตาของสติและปัญญาว่าเมื่อเหตุพร้อม สติและปัญญาก็เกิดเอง ขณะนั้นก็มีเราที่อยากจะรู้ในสภาพธรรม ดังนั้นป็นผู้มีปกติ คือ อบรมปัญญาโดยการฟังพระธรรมต่อไป และเมื่อปัญญาเกิดก็เกิดเอง เป็นปกติที่เกิดแทรก อกุศลที่เคยเกิดเป็นปกติในขณะนี้ ปัญญาเกิดรู้ความจริงในสภาพธรรมที่กำลังมีเป็นปกติเช่นกันครับ
ดังนั้น สำคัญคือ อบรมเหตุ ฟังพระธรรมต่อไป และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สติและปัญญาก็เกิดเองรู้สภาพธรรม โดยไม่หวัง แต่อบรมเหตุ การเข้าใจอย่างนี้ คือ รู้ความจริงถึงความเป็นอนัตตา และ ปัญญาสามารถเกิดได้เป็นปกติในขณะนี้ที่กำลังมีสภาพธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 288
[๒๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งทิฏฐิ ๖ ประการเหล่านั้น ๖ ประการเป็นไฉน ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลายว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั้นโลก นั้นอัตตา ในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
ไม่ยึดถือว่าเป็นเรา [มูลปัณณาสก์]
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา
เป็นเราศึกษาธรรม หรือ เป็นการศึกษาธรรม
เราเป็นลูกของแม่เล็กหรือหนอ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ และทุกๆ ท่าน ...
ศึกษาพระธรรม ... จนกว่าจะเริ่มเข้าถึง ... ลักษณะของธรรม ... ที่กำลังปรากฎ ... เริ่มจากการฟังธรรม ... จนกว่าจะรู้จริงถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฎให้รู้ได้ ... สิ่งที่มีจริงคือธรรม ปรากฎให่้รู้ได้ตามปกติ ... ธรรมเป็นอนัตตา เกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ใน
อำนาจบังคับบัญชาของใคร ... สาธุๆ ๆ ๆ
กราบท่านอาจารย์สุจินต์และคณะทุกท่านด้วยความเคารพยิ่ง
ดิฉันได้ฟังธรรมะจาก CD ของท่านอาจารย์มาตลอด ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ฟังไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่พยายามที่จะเข้าใจหรือคิดถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏพูดง่ายแต่ทำได้ยากเพราะตัวตนคอยสั่งตลอดเวลาโดยที่รู้ตัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะไม่รู้ พยายามฟังธรรมไปเรื่อยๆ ทำให้เป็นปกติ ทำงานบ้านไปก็ฟังธรรมไปด้วย น้อมนำธรรมะมาสอนหรือบอกกับตนเองไป และจะเพียรฟังธรรมไปจนกว่าจะเกิดปัญญาโดยไม่มุ่งหวังอะไร เมื่อไรก็เมื่อนั้น ตามที่ท่านอาจารย์ได้สอนมาตลอด
ขอกราบอนุโมทนาสาธุกับท่านอาจารย์และผู้ร่วมงานทุกท่าน ด้วยจิตคารวะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ