ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
ครั้งหนึ่งไม่นานนัก (เมื่อเทียบกับสังสารวัฏฏ์) ที่ กุสินารา สถานที่ๆ พระพุทธองค์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อได้กราบนมัสการแล้ว ทุกคนได้ กล่าวบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ทำนองสรภัญญะ พร้อมกันว่า ...
(ขณะอ่าน ลองกล่าวตาม แล้วแต่ละท่านรู้สึกอย่างไร?) องค์ใด พระสัมพุทธ สุวิสุท ธ สันดาน ตัดมูล กิเลสมาร บ มิหม่น มิหมองมัว หนึ่งใน พระทัยท่าน ก็เบิกบาน คือ ดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคน ธ กำจร
องค์ใด ประกอบด้วย พระกรุณา ดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละ โอฆะกันดาร
ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุข เกษมสานต์
ชี้ทาง พระนฤพาน อันพ้นโศก วิโยคภัย
พร้อมเบญ จ พิธจัก ษุ จรัส วิมลใส เห็นเหตุ ที่ใกล้ไกล ก็เจนจบ ประจักษ์จริง กำจัด น้ำใจหยาบ สันดานบาป แห่งชายหญิง สัตว์โลก ได้พึ่งพิง มละบาป บำเพ็ญบุญ
ข้าขอ ประณตน้อม ศิระเกล้า บังคมคุณ
สัมพุท ธ การุณ ญ ภาพนั้น นิรันดร ...
ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ นั้น แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิด จึงพิจารณาไม่ ได้ เสียงก็ค่อยๆ สั่น จนเมื่อถึง ข้าขอ ประณตน้อม ... ญ ภาพนั้น นิรันดร ...
น้ำตาก็ไหลริน แต่จากการได้ยิน ได้ฟังพระธรรม ก็เข้าใจได้เมื่อขณะล่วงไป แล้วว่า เป็นกุศล หรือ อกุศล แต่ความรู้สึก สังเวช หรือ สังเวค ยังไม่เกิดปรากฏ เลย กับผู้มีปัญญาน้อย จะมีปรากฏก็แต่ความรู้สึกเศร้าใจ (กุศลก็เกิดบ้างขณะนอบ น้อม ระลึกถึงพระพุทธคุณ) อีกไม่กี่วันนี้ (๑๖ก.พ.) ก็จะได้ไปกราบนมัสการ ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้อีก ครั้ง แม้อาจไม่เกิดสังเวช ด้วยปัญญา แต่ก็หวังว่า คงไม่ถึงกับน้ำตาไหล วันนี้ คิดได้อย่างนี้ แต่ "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา "
สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 312
พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะท่านพระอานนท์ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่าอย่าเลยอานนท์ เธออย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดาความปรารถนาว่าขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลยดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจง ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลที่เกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มั่งมี ยากจน โง่เขลา หรือ ฉลาด เป็นต้น ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้เลยแม้แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงกระทำที่พึ่งให้แก่พระองค์แล้ว และที่สำคัญ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนั้น จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ที่จะทำให้พุทธบริษัทผู้ที่สั่งสมเจริญบารมีมาได้ฟัง ได้ศึกษาอบรมเจริญปัญญา สามารถที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด เป็นการละชาติสังสารได้ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตเหลืออยู่ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นเป็นลำดับ จึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด จึงเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อนุโมทนาค่ะ
ตอนไปเมืองกุสินาราได้ไปนมัสการพระนอน จำได้ว่ามีพระภิษุสวดสรรเสริญพระพุทธคุณในทำนองที่เศร้ามาก จนอดไม่ได้น้ำตาไหล ตอนนี้อ่าน องค์ใด พระสัมพุทธและเห็นพระนอนด้วย ก็อดไม่ได้อีกน้ำตาก็ไหลอีก ทำให้รู้ว่าต้องสะสมความเศร้าไว้มากอย่างแน่นอน แต่ก็แปลกนะทำไมน้ำตาต้องไหลเมื่อเห็นพระนอน ครับ
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ได้มีโอกาสไปนมัสการสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจพระธรรมเท่าไรนัก แต่มีความ ศรัทธาในพระมหากรุณาคุณเป็นอย่างสูง ขณะที่เข้าไปเพื่อกราบนมัสการมีความรู้ สึกว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะนั้นอกุศลจิตเกิดสลับ กับกุศลจิต ...
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้มีโอกาสไปกราบนมัสการสังเวชนียสถาน สองสามแห่งที่อินเดีย ในวันนี้ได้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ไม่ทรงสรรเสริญแม้อกุศลเพียงเล็กน้อย เพราะอกุศลนั้นให้ผลเป็นความทุกข์ แต่ สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาอาจจะน้ำตาอาบแก้มอีกก็ได้ในขณะที่ไปนมัสการยังสังเวชนียสถาน แต่เมื่อได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้มากขึ้น อาจ เป็นเหตุปัจจัยน้อมระลึกลักษณะสภาพธรรมที่โศรกเศร้าขณะนั้นว่าเป็นเพียงลักษณะ สภาพธรรมไม่ใช่เรา สภาพธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่สะสมมา ค่อยๆ อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้ ความเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมเป็นปัจจัยให้สติเกิด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่..........
สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็น [ทสฺสนียานิ]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผมกำลังจะได้ไปตามรอยการแสวงหาอันประเสริฐขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สังเวชนียสถาน 4 ในสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ผมตั้งใจอ่านพุทธประวัติอย่างละเอียดจาก 'ปูชนียะ สุตตะ ปริตตะ' ซึ่งได้รวมรวมสถานที่จริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทรงประสูติจนถึงปรินิพพานและทำสังคายนาพระไตรปิฎก ให้จบได้ก่อนที่จะไปยังสถานที่จริง
ก่อนเดินทางมีความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ไปหาเพลงบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ทำนองสรภัญญะ 'องค์ใดพระสัมพุทธ' และ 'ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ' มาฟังหลายรอบ เกิดเป็นความซาบซ่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายของทำนองสรภัญญะแรกข้างต้นที่ว่า
ข้าขอ ประณตน้อม ศิระเกล้า บังคมคุณ
สัมพุท ธ การุณ ญ ภาพนั้น นิรันดร ...
การเกิดเป็นของธรรมดา เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น และทุกคนก็ได้เกิดมาแล้ว นานแล้วด้วยในแสนโกฏิกัปป์ และเมื่อตายแล้ว ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้น การเกิดโดยทั่วๆ ไป เป็นของธรรมดาที่ตายแล้วต้องเกิดอีก
สำหรับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว มีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ นอกจากพระธรรมที่เป็นศาสดาแล้ว ในโลกนี้ยังมีสถานที่ซึ่งเป็นสังเวชนียสถาน เป็นสถานที่ที่พุทธบริษัทจะระลึกถึงพระผู้มีพระภาคด้วยจิตที่เป็นกุศล เพราะว่าได้เข้าใจธรรม คือ ธรรมทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป
ขอเชิญรับฟัง
สังเวชนียสถาน