จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ รู้แล้วจะให้โทสะเบาบางอย่างไรครับ
โดย ผู้มาใหม่  27 มี.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 33950

1. จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ เราจะไปห้ามไม่ให้มันเกิดโทสะไม่ได้เพราะมันเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย แต่เราสามารถทำเหตุปัจจัยให้โทสะเบาบางลง อันนี้ถูกไหมครับ

2. ปัจจัยที่ทำให้โทสะเบาบางลงได้แก่ การเจริญสติ เจริญปัญญา ถูกต้องไหมครับ

3. ว่าโดยปรมัตถ์ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ดังนั้นขณะที่จิตมีโทสะ ขณะนั้นเป็น โทสมูลจิต ซึ่งสติจะเกิดขึ้นตอนนั้นไม่ได้ ดังนั้น ที่รู้ว่าจิตมีโทสะ เป็นกุศลจิตที่มีสติเจตสิก เกิดขึ้นหลังจาก โทสมูลจิตเกิดขึ้นและดับไป อย่างนี้ถูกต้องไหมครับ

4. จากข้อ 3 จะถือได้หรือไม่ว่า โทสมูลจิต รวมทั้งเจตสิกที่เกิดขึ้นพร้อมกันนั้น เป็นอารมณ์ของ กุศลจิตที่มีสติเกิดขึ้นมาเพื่อรับรู้

ทั้ง 4 ข้อนี้หากมิใช่ตรงไหนช่วยแก้ไขด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 28 มี.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตอบคำถาม ข้อ 1 และ 2

- ไม่มีใครทำเหตุปัจจัย แต่ธรรมนั้นเกิดจากเหตุปัจจัย เพราะมีการฟังธรรมที่ถูกต้อง จนมั่นคงในความเป็นธรรมไม่ใช่เรา ปัญญาก็เกิด ไม่ใช่เราทำให้เกิด ไม่ใช่เราทำเหตุปัจจัย ตามเหตุ ตามธรรมตามอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งปัญญานั้นเองที่ละคลายกิเลส ครับ

ตอบข้อ 3 และ 4

ขอเชิญอ่านคำบรรยาย ท่านอ.สุจินต์ที่สนทนาในประเด็นที่ถามได้ชัดเจนดังนี้ครับ

ถาม  เรื่องของวิถีจิต เรื่องของปรมัตถธรรมตามที่ได้ศึกษามาว่า รูปารมณ์นี้มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะของจิต แต่ทางปัญจทวารวิถี นับตั้งแต่อตีตภวังค์ไปจนกระทั่งถึงตทาลัมพนะ ก็ได้ ๑๗ ขณะ รูปารมณ์ก็ดับไปในขณะนั้น ทีนี้ในเมื่อปัญจทวารวิถีนี้ ๑๗ ขณะดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดคั่น นับไม่ถ้วน หลังจากนั้นทางมโนทวารวิถีจึงเกิดขึ้นรับอารมณ์ทางปัญจทวาร ทีนี้ถ้ามีสติระลึกรู้ในขณะนั้น รู้อารมณ์ที่ปัญจทวารรู้มา ในขณะนั้นยังชื่อว่า ปัจจุบันอารมณ์ หรือปรมัตถอารมณ์หรือเปล่าครับ

ท่าน อ.สุจินต์  ปัจจุบันปรมัตถ์ด้วยค่ะ แต่ไม่ใช่โดยขณะ โดยสันตติ คือโดยการสืบต่อ เพราะยังไม่ดับไป ยังปรากฏอยู่ ยังไม่ดับในที่นี้ หมายความว่า ยังมีเกิดดับปรากฏอยู่ แต่ว่าที่จริงแล้วขณะ ๑๗ ขณะ อายุของรูปนั้นก็ดับไปหมด แล้วก็มีรูปเกิดอีก ๑๗ ขณะ ดับไปแล้ว ก็มีรูปเกิดอีก ๑๗ ขณะ ดับไป จึงปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะของรูปนั้น

ที่ใช้คำว่า ปัจจุบัน มีความหมายหลายอย่าง ในความหมายนี้ หมายความถึง สันตติปัจจุบันที่สืบต่อ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ เมื่อปีก่อน เมื่อเดือนก่อน

ผู้ถาม  ก็รูปารมณ์นี้มันเกิดขึ้นอีก ทางมโนทวารก็ไม่ได้รับรูปารมณ์นั้น

ส.  ถ้าบอกว่า ทางมโนทวารไม่ได้รับรูปารมณ์นั้นล่ะก็ ขณะนี้ท่านผู้ฟังเห็นแล้ว จะไม่มีการเห็นต่อไป ก็ต้องขาดช่วง แต่นี่เห็นไม่ปรากฏว่าดับเลย สิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นรูปารมณ์ทางตา ก็ไม่ปรากฏว่าดับ แล้วอย่างนี้จะกล่าวว่า มโนทวารวิถีไม่ได้รับต่อได้อย่างไรล่ะคะ

ผู้ถาม  คือรูปารมณ์จะต้องเกิดที่ปัญจทวารวิถี เช่นสมมติว่า จักขุทวารวิถีเห็นรูปารมณ์ เมื่อรูปารมณ์เกิดขึ้น ๑๗ ขณะของจิต รูปารมณ์นั้นก็ดับไป ทีนี้ถ้ารูปารมณ์เกิดใหม่ จิตก็ไม่ได้รับ ในเมื่อมโนทวารเกิดขึ้น มโนทวารวิถีเกิดขึ้นนี้ รูปารมณ์ที่เกิดใหม่นั้น จิตก็ไม่ได้รับรูปารมณ์ใหม่นั้นแล้ว

ส.  ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะประจักษ์ความเกิดดับ แล้วก็รู้ว่า เวลาที่คิดนึกอยู่ในขณะนั้น ไม่มีเสียง หรือว่าไม่มีสีรวมอยู่ในขณะของวิถีจิตที่กำลังคิดนึก

ขอกล่าวถึงคำถามเมื่อกี้นะคะ เพื่อที่จะได้ประกอบกันที่ว่า รูปารมณ์มีอายุ ๑๗ ขณะ แล้วก็ดับไป แล้วก็มโนทวารวิถีจิตรับรู้รูปารมณ์ต่อจากปัญจทวารวิถี

เพราะฉะนั้นเวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมที่จะปรากฏความขาดตอนระหว่างปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี ก็คือมโนทวารวิถีปรากฏ รู้รูปซึ่งต่อจากปัญจทวารวิถีได้ ยังชื่อว่า เป็นปัจจุบันอารมณ์ เพราะเหตุว่าการเกิดดับสืบต่อกันอยู่ อย่างทางตาที่กำลังเห็น ขณะนี้เป็นปัจจุบันหรือเปล่า เวลาที่สติระลึกทั้ง ๖ ทวาร ไม่มีใครไปกั้นเอาไว้ว่า ให้เกิดทางมโนทวารวิถีเท่านั้น แล้วทางปัญจทวารวิถีไม่มีสติปัฏฐาน ไม่มีใครที่สามารถจะไปกั้นการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมากของวิถีจิตได้

เพราะฉะนั้นเวลามีการระลึกรู้ลักษณะของรูปารมณ์ทางมโนทวาร ระลึกรู้รูปารมณ์ และทางปัญจทวารก็เห็นรูปารมณ์ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของรูปารมณ์ที่ปรากฏนั้น ทั้งทางปัญจทวารและมโนทวารวิถี

ทางหูก็เช่นเดียวกัน เสียงปรากฏในขณะนี้ ใครจะแยกว่า ทางปัญจทวารวิถี แล้ว เสียงก็ดับไปใน ๑๗ ขณะ เพราะเหตุว่ามโนทวารวิถีเกิดสืบต่อหลังจากที่ภวังค์คั่นแล้ว มโนทวารวิถีก็รู้เสียงซึ่งทางโสตทวารวิถีเพิ่งได้ยินแล้วดับไป มีใครจะกั้นไม่ให้จิตเกิดดับอย่างนี้ และเมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของเสียง ย่อมระลึกรู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏทั้งทางโสตทวารวิถีและทางมโนทวารวิถี โดยที่ไม่แยกเหมือนกัน เพราะว่าเสียงเมื่อปรากฏทางปัญจทวารแล้ว ก็ยังเป็นอารมณ์ของมโนทวารวิถีจิตต่อ

ข้อสำคัญท่านผู้ฟังอย่าเข้าใจโดยชื่อ แล้วเอาไปปะปนกับเวลาที่สติกำลังระลึกรู้ เช่น ลักษณะที่แข็ง ถึงสติไม่เกิด แข็งก็ปรากฏ ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้นในขณะที่แข็งปรากฏ ขั้นการฟังเห็นว่า เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่ขั้นการฟัง รู้ว่าแข็งเป็นแข็ง แต่ปัญญาอบรมเจริญจนกระทั่งรู้ในปฐวีธาตุ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นหรือยัง

เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรีบร้อน หรือว่าใจเร็ว ที่จะเอาปริยัติไปปนกับขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าจะต้องศึกษาจนกระทั่งเป็นความรู้ที่สามารถจะแยกขาดจากนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น เช่นในขณะที่แข็งปรากฏ ถ้าเคยศึกษามาว่า ลักษณะที่แข็งเป็นรูปธรรม บางท่านก็อาจจะบอกว่า ไม่สงสัยเลย เข้าใจแล้วว่า แข็งนี้เป็นรูปธรรม ลักษณะที่แข็งต้องเป็นรูปธรรม แต่ว่าลักษณะที่รู้แข็ง ไม่ใช่แข็งอย่างไร ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏ สภาพรู้แข็งต่างกับแข็งที่กำลังปรากฏอย่างไร ที่จะรู้จริงๆ ว่า แข็งเป็นรูปธรรม

เหมือนกับทางตาที่กำลังเห็น รูปารมณ์เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ถึงแม้ว่าทุกท่านที่ยังไม่ได้อบรมสติปัฏฐานเพียงพอ ก็จะต้องเห็นเป็นคนหลายๆ คน เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ที่จะให้เห็นว่าเป็นรูปารมณ์ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ นี้ ยากที่จะเป็นได้ หมายความว่าโดยขั้นประจักษ์ แต่โดยขั้นวาจาที่จะกล่าวตามก็แสนที่จะง่าย ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง กำลังปรากฏ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ปรากฏทางอื่น ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก แต่ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ว่าลักษณะของรูปารมณ์แท้ๆ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเลยจริงๆ ปรากฏโดยสภาพที่เป็นรูปารมณ์ หรือว่าเพียงแต่กล่าวตามได้ว่า รูปารมณ์กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าเป็นลักษณะของสภาพที่สามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น

การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นผู้ที่ตรง เพื่อที่จะได้อบรมเจริญปัญญาถูกต้องขึ้น และรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมถูกต้องยิ่งขึ้นเป็นขั้นๆ ถ้ายังเห็นว่า เป็นคนหลายๆ คน เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็หมายความว่า ที่เคยพูด แล้วก็เคยเข้าใจขั้นการฟังว่า รูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา นั่นเป็นเพียงขั้นความเข้าใจที่เป็นปริยัติเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเวลาที่สติระลึกนี้ ต้องเป็นผู้ที่ตรง อุชุปฏิปันโน ต้องตรงจริงๆ ว่า มีการน้อมรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งประจักษ์จริงๆ ว่า หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งใดๆ ในเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 28 มี.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ

รู้ว่าโทสะมีลักษณะอย่างไร

จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ

ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีโทสะ

...ยินดีในความดีของทุกๆท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย ผู้มาใหม่  วันที่ 28 มี.ค. 2564

ขอบพระคุณอาจารย์ทั้งหลายมากครับ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 28 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ