ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
.........
พักผ่อนและสนทนาธรรมที่ White Sand Doclet Resort & Spa
วันนี้ เป็นวันที่ทางท่านเจ้าภาพ คือ ชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ได้จัดให้เป็นวันพักผ่อน ท่องเที่ยว แน่นอนว่า มีการสนทนาธรรมด้วย ก่อนการเดินทางกลับประเทศไทย ในวันพรุ่งนี้ โดยหลังจากการรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็มีสหายธรรมชาวเวียดนาม มารออยู่ที่หน้าโรงแรมที่พัก เพื่อออกเดินทางไปยัง White Sand Doc Let Resort & Spa เป็นรีสอร์ทริมทะเล ที่มีหาดทรายละเอียดยิบ สีขาวนวล ที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม
เราออกเดินทางในเวลาประมาณ แปดโมงเช้า โดยรถบัสปรับอากาศอย่างดี จำนวน ๒ คัน ไปยัง White Sand Doclet Resort & Spa ซึ่งตั้งอยู่ติดชายทะเลทางด้านทิศเหนือของเมือง Nha Trang ห่างออกไปราว ๕๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างทาง นอกจากจะได้ชมวิว ทิวทัศน์อันงดงามสองข้างทางแล้ว เพื่อนๆ สหายธรรมชาวไทย ยังได้มีกิจกรรมให้ได้สนุกสนานเฮฮา เป็นระยะๆ ทำให้การเดินทางของเราสนุกสนาน ครึกครื้น ดีมากครับ
เราเดินทางถึงรีสอร์ทในเวลาประมาณ ก่อนสิบโมงเช้าเล็กน้อย มีสหายธรรมชาวเวียดนามที่เดินทางมาถึงก่อนล่วงหน้า คอยให้การต้อนรับ พร้อมกับมีบริการเครื่องดื่มเย็นๆ จากทางรีสอร์ท ที่จัดไว้บริการด้วย ตามกำหนดการ ของวันนี้ ในช่วงเช้า เป็นเวลาของการพักผ่อนตามอัธยาศัย รับประทานบุฟเฟต์ตอนเที่ยงพร้อมกันที่ภัตตาคารหรูของรีสอร์ท โดยท่านอาจารย์และคุณ Tam Bach ได้กรุณาเป็นเจ้าภาพ เลี้ยงทุกท่านที่มาพักผ่อนในครั้งนี้ หลังจากนั้น ทุกท่านก็ยึดเตียงผ้าใบชายหาดคนละมุม เอนหลัง พักผ่อน ตามสบาย ก่อนที่จะมีการสนทนาธรรม ในเวลาบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น
แต่เดิม ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมเครื่องเสียงและสถานที่สำหรับสนทนาธรรมไว้บริเวณใต้ร่มมะพร้าว ริมหาดแสนสวย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมมาก แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาสนทนาธรรม กลับมีฝนตกลงมา ทำให้ต้องย้ายสถานที่ไปสนทนาภายในห้อง จากที่เคยคิดว่าจะได้ชื่นชมทะเลแสนสวยยามเย็นพร้อมๆ กับการฟังการสนทนาธรรม ก็ต้องเข้าไปนั่งอยู่ในห้องแอร์ แสดงถึงความจริงที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งสิ้น ถึงเวลาก็จะเห็นเอง ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามที่คิด ที่อยากเลย ก็เป็นได้ และเป็นให้เห็นอยู่บ่อยๆ ด้วย เมื่อบุคคลได้เห็นดี ได้ประสบพบสิ่งที่ดี ย่อมรู้ได้ถึงกุศลกรรมที่ตนเคยทำไว้ ให้ได้รับผลคือ กุศลวิบาก ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่ดี และ เมื่อได้เห็น ได้พบ ในสิ่งที่ไม่ดี ก็ย่อมรู้ด้วยตน ว่า เพราะผลของอกุศลกรรม ที่ตนเคยได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เมื่อเข้าใจและมั่นคงขึ้นในกรรมและผลของกรรม ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อนใจ หรือหวั่นไหวไปกับสิ่งที่ได้พบ ซึ่งมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ในแต่ละวัน ในแต่ละขณะ หรือ เดือดร้อนมากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังของความเข้าใจที่ได้สะสมมา
ชีวิตของผู้ศึกษาธรรม จึงเป็นชีวิตที่เป็นไปกับความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันโดยความเป็นปกติ กล่าวคือ ปกติอยู่ด้วยความเข้าใจ ที่มีความมั่นคงขึ้นจากการได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัย เป็นสังขารขันธ์ ที่จะปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้น ระลึกรู้สภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ตามปกติ ด้วยความเป็นปกติ และที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าสติเกิดก็เกิด ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่ใช่การไปนั่ง ไปเดิน หรือไปทำอะไรเพื่อให้รู้ เพื่อให้มีสติ ด้วยความผิดไปจากปกติ ด้วยความเป็นตัวตนที่คิดว่าทำได้ ซึ่งเป็นความเห็นผิดและเข้าใจผิด เพราะสติ เป็นธรรม และ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา บังคับบัญชามิได้ นี่คือสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ชัดเจนอย่างยิ่ง หนทางอื่นที่ผิดไปจากนี้ ที่คิดว่ามีตัวตนที่จะไปทำ ไปปฏิบัติ ไปเดิน ไปนั่ง จึงไม่ใช่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ไม่มีทางได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังพระพุทธวาจาที่ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ซึ่งในความเป็นจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง หามีผู้ใดเห็นพระองค์ไม่ แต่เป็นปัญญา ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่าไม่ใช่ใครเลย เป็นแต่ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เท่านั้น
"...จะศึกษาวิชาพุทธศาสตร์ หรือจะศึกษาธรรมะ ให้เข้าใจ การศึกษาวิชาพุทธศาสตร์นั้น เพื่อที่จะรู้ว่า จิตมีกี่ดวง เจตสิกมีกี่ดวง รูปมีเท่าไหร่ อะไรบ้าง วิถีจิตคืออะไร...วิถีจิตที่เกิดทางปัญจทวารมีจำนวนเท่าไร อะไรบ้าง...ท่องได้ จำได้ แล้วไม่นานก็ลืม แล้วจะได้ประโยชน์อะไร ถ้ายังไม่เข้าใจว่าธรรม คืออะไร ทำไมต้องฟัง ต้องศึกษาว่าธรรมเป็นสิ่งมีจริง ธรรมเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเปลี่ยนธรรมได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมทั้งหลาย พระธรรมคำสอนถึงแม้เป็นบัญญัติ แต่ก็แสดงให้เข้าใจถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงต้องฟังเพื่อที่จะรู้ตามความเป็นธรรมะ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กล่าวเสมอๆ ว่าการศึกษาธรรมะ เพื่อเข้าใจธรรมะ พูดถึงเรื่องจิตที่มีจริงๆ แล้วรู้จักจิตหรือยัง?
(คัดจาก ธรรมบรรณาการ โดย เมตตา ในกระทู้ชื่อ เครื่องพิสูจน์ว่ายังเป็นผู้ไม่เข้าใจธรรม ขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ)
)
"...ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพื่อสะสมความเข้าใจความเห็นถูกเห็นถูกโดยไม่ต้องหวังอะไรเลย เริ่มเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะขณะนี้เป็นธรรมะอย่างนั้น เห็นมีจริงๆ ได้ยินมีจริงๆ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็มีจริงๆ เป็นธาตุรู้ สิ่งที่ปรากฏกับเห็น ไม่รู้อะไรเลย ค่อยๆ ที่จะเริ่มเข้าใจเห็น ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ธรรม เกิดตามเหตุตามปัจจัย จงใจหรือต้องการที่จะรู้ก็เป็นเครื่องกั้น เริ่มฟังให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงให้ทั่ว ความเข้าใจนั้นเองเป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ สภาพธรรมเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วมาก ขณะนี้เข้าใจเห็นหรือยัง เข้าใจได้ยินหรือยัง? (ยังคงไม่เข้าใจ) แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ เพราะความเข้าใจ สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงตราบใดที่ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ยังคงแสวงหาหนทางที่ผิด ถ้าใครยังจะไปทำอะไรให้เข้าใจธรรมะ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ยังเป็นผู้ไม่เข้าใจธรรม
(คัดจาก ธรรมบรรณาการ โดย เมตตา ในกระทู้ชื่อ เครื่องพิสูจน์ว่ายังเป็นผู้ไม่เข้าใจธรรม ขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ)
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
... ไม่ใช่เรา ไม่เห็นโทษของการที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วยึดถือสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตนอันนี้สำคัญที่สุด...
...สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นของจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน...
...สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียง สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าทางตาจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ให้เราคิดนึก
...คิดและพูด ตามอวิชชาและโลภะ ทุกคนคิดทุกวัน แต่ว่าความคิดของแต่ละคน จะไม่พ้นจากการสะสมของ อวิชชาและโลภะ ในเรื่องต่างๆ ใครก็ตามจะคิดเรื่องอะไร ต้องเพราะ (อวิชชา) โลภะในเรื่องนั้น ทำไมคนที่ไม่ได้สะสมมาในเรื่องการจัดดอกไม้จะไปคิดเรื่องการจัดดอกไม้ เป็นไปไม่ได้.....
...โลภะและอวิชชาก็ทำให้ชีวิตแต่ละคน เป็นไปตามการสะสมต่างๆ กัน แม้แต่วันนี้เราจะชอบผลไม้ชนิดไหน ชอบอาหารชนิดไหน วันหนึ่งๆ ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ได้เลยว่า บังคับบัญชาไม่ได้ คิดนึก ตามอวิชชาและโลภะ พูด ตามอวิชชาและโลภะ...
...นั่นของเรา เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหา เราเป็นนั่น เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะนั่นเป็นตัวตนของเรา มีความสำคัญ เพราะทิฏฐินั่นเอง...
(ข้อความบางตอนจาก ธรรมบรรณาการ โดย pirmsombat ในกระทู้ชื่อ ไม่ใช่เรา ขออนุโมทนาคุณหมอเพิ่มสมบัติ สัลลกะชาต ครับ)
ข้อความตอนหนึ่งจาก ... อลคัททูปมสูตร...
[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 288
[๒๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งทิฏฐิ ๖ ประการเหล่านั้น ๖ ประการเป็นไฉน ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลายว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั้นโลก นั้นอัตตาในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่ เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้ว ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะ เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลายว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั่นโลก นั่นตน ในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา พระอริยสาวกนั้นพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่สะดุ้ง ในเพราะสิ่งที่ไม่มีอยู่.
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 192
๒. ทุติยภิกขุสูตร
ว่าด้วยผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการอยู่เป็นสุข
[๒๐๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการ ย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อนในปัจจุบัน เมื่อตายไปพึงได้สุคติ ธรรม ๒ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้จักประมาณในโภชนะ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๒ ประการนี้แล ย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบัน เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ภิกษุได้คุ้มครองดีแล้ว ซึ่งทวารเหล่านี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ รู้จักประมาณในโภชนะ และ สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลายภิกษุนั้นย่อมถึงความสุข คือ สุขกาย สุขใจ ภิกษุเช่นนั้น มีกาย ไม่ถูกไฟ คือ ความทุกข์แผดเผา มีใจ ไม่ถูกไฟ คือ ความทุกข์ แผดเผา ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งกลางวันกลางคืน
เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบทุติยภิกขุสูตรที่๒
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมาทั้งหมดของการเดินทางไปสนทนาธรรมที่เวียดนาม ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑ ดอนเมือง-ไซ่ง่อน-ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒ ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓ ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔ ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]
ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนาขอบพระคุณคุณวันชัย ภู่งามและท่านผู้ดำเนินการจัดให้มีการสนทนาธรรมพร้อมทั้งผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ