ในรูปหนึ่งรูปนั้นประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะอธิบายตามวิทยาศาสตร์ก็คือ วัตถุที่จับต้องได้ทุกชนิด เช่น โต๊ะ เก้าอี้นั้น ก็คือมวลสารซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มพลังงานจำนวนมหาศาลตามสมการ (E=mc2) ซึ่งการที่กลุ่มพลังงานมารวมตัวเกาะกลุ่มกันได้นั้นก็เพราะต้องมีธาตุน้ำเป็นปัจจัยให้สรรพสิ่งหรือวัตถุสสารเกาะกลุ่มรวมตัวกันได้ เมื่อวัตถุเป็นมวลสารที่จับต้องได้ ขณะที่ปรากฏกับกายประสาทรูป ก็มีลักษณะของธาตุดินปรากฏ คือ อ่อนหรือแข็ง แต่ที่ละเอียดลึกลงไปกว่านั้นคือเรื่องของอากาศธาตุที่แทรกขั้นอยู่ในตัววัตถุ อยากถามท่านอาจารย์ว่า ธาตุลมกับอากาศธาตุเหมือนหรือต่างกัน และเมื่อธาตุลมมีลักษณะคือ ตึงหรือไหว ขอช่วยอธิบายลักษณะของตึงหรือไหวด้วย โดยท่านอาจารย์อาจจะยกตัวอย่างประกอบให้เข้าใจง่ายขึ้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่เป็นสิ่งที่มีจริง มี 2 อย่าง คือ นามธรรม และ รูปธรรม นามธรรม ได้แก่จิต เจตสิก ที่เป็นสภาพรู้ ส่วน รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ซึ่ง การรับรู้ทางกาย เป็นกิจหน้าที่ของจิต ที่เรียกว่า กายวิญญาณจิต ซึ่งการรับรู้ทางกายนั้น มีอารมณ์ได้ทั้งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ที่เป็นลักษณะของธาตุดินคือ แข็ง อ่อน ธาตุไฟ คือ เย็น ร้อน และ ลักษณะของธาตุลม คือ ตึง หรือ ไหว
ซึ่งลักษณะ ตึงไหว เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่แสดงลักษณะของธาตุลม ที่สามารถเกิดมีได้ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นการรับรู้ทางกาย ซึ่งการขยับร่างกาย เคลื่อนไหว ในอิริยาบถต่างๆ ก็อาจปรากฏลักษณะของสภาพธรรมที่ ตึง หรือ ขณะใดที่เคลื่อนไหว แขน ขา ก็สามารถปรากฏลักษณะที่ไหวไป ซึ่งเป็นลักษณะของธาตุลม
ปริจเฉทรูป คือ อากาศรูป ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลาปทุกๆ กลาป ทำให้รูปแต่ละกลาปไม่ติดกัน ไม่ว่ารูปจะปรากฏเล็กใหญ่ขนาดใดก็ตาม ให้ทราบว่ามีอากาศรูปคั่นอยู่ระหว่างทุกๆ กลาปอย่างละเอียดที่สุด ทำให้รูปแต่ละกลาปแยกออกจากกันได้ ถ้าไม่มีปริจเฉทรูปคั่นแต่ละกลาป รูปทั้งหลายก็ติดกันหมด แตกแยกกระจัดกระจายออกไม่ได้เลย แต่แม้รูปที่ปรากฏว่าใหญ่โต ก็สามารถแตกย่อยออกได้อย่างละเอียดที่สุดนั้นก็เพราะมีอากาศธาตุ คือ ปริจเฉทรูปคั่นอยู่ทุกๆ กลาป นั่นเอง ฉะนั้น ปริจเฉทรูปจึงเป็นอสภาวรูปอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่มีลักษณะเฉพาะของตนที่เกิดขึ้นต่างหาก แต่เกิดคั่นอยู่ระหว่างกลาปต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั่นเอง
รวมอวินิพโภครูป ๘ + ลักขณรูป ๔ + ปริจเฉทรูป ๑ เป็น ๑๓ รูป
ไม่ว่ารูปจะเกิดที่ใด ภพภูมิใดก็ตาม จะเป็นรูปที่มีใจครอง หรือไม่มีใจครอง ก็ตาม จะปราศจากรูป ๑๓ รูปนี้ไม่ได้เลย ปริเฉทรูปเป็นรูปปรมัตถ์ มีลักษณะจริงๆ มีสมุฏฐานให้เกิดทั้ง ๔ สมุฏฐาน เป็นธรรมะที่กั้นระหว่างกลุ่มของรูป เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นรูปที่สามารถรู้ได้ทางใจเท่านั้น ไม่สามารถปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกายได้ และเราก็มักจะพูดถึงแต่ธรรมะที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ก็ไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏได้ไหม การอบรมเจริญสติปัฏฐานคือ การอบรมความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ มีทางเดียวเท่านั้นคือเข้าใจลักษณะของเห็น หรือสิ่งที่ถูกเห็น ได้ยิน หรือเสียง ... เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญคลิกฟังและอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ มหาภูตรูป ๔
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
แม้ขณะนี้ก็มีตึงหรือไหวกำลังปรากฏ เป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา เกิดแล้วดับ แต่จะปรากฏกับปัญญาเท่านั้นค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ