ในยุคนี้ ไม่ใช่กาลสมบัติที่จะเจริญสมถภาวนาจนถึงขั้นฌานจิต เพราะอะไรคะ แล้วผู้ที่ฝึกนั่งฌานกัน หลายๆ สำนัก บ้างก็ใช้กำลังฌานไปปลุกเสกวัตถุต่างๆ บ้างก็บอกว่านั่งฌานไปดูนรก ไปดูสวรรค์ ถ้าในสมัยนี้ไม่ใช่กาลที่จะเจริญถึงขั้นฌานจิตที่ประกอบด้วยกุศล แสดงว่า ในสมัยนี้ส่วนใหญ่ เป็นฌานที่ประกอบด้วยอกุศลใช่หรือไม่ หรือว่าแทบไม่ได้ฌานจิตเลย เป็นเพียงอาการความรู้สึกเหมือนขั้นฌาน
จุดประสงค์ของการเจริญสมถภาวนา เพื่อจิตสงบจากอกุศลจนจิตแนบแน่นอยู่อารมณ์เดียวเป็นกุศลฌานขั้นต่างๆ เมื่อใกล้ตายฌานไม่เสื่อมย่อมเข้าถึงพรหมโลก ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลพร้อมด้วยฌาน มีจำนวนน้อยกว่าผู้ที่บรรลุโดยไม่มีฌาน เพราะการบรรลุฌานเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ในยุคสมัยครั้งพุทธกาลยังยาก สมัยนี้ไม่ต้องพูดถึง ขั้นต้นถ้าหากขาดปัญญารู้หนทางในการบำเพ็ญฌานให้เกิดขึ้น หรือยังมีความติดข้องในกามคุณอยู่ ยังเป็นผู้ทุศีล มีศีลไม่บริสุทธิ์ มีความกังวลในเรื่องต่างๆ ยังอยู่ที่ในเมืองที่มีเสียงรบกวน เป็นต้น ไม่อาจเจริญกุศลฌานให้เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ที่ทำเพื่อปลุกเสกวัตถุ หรือเพื่อไปดูนรกสวรรค์ เพราะไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ แม้ความเข้าใจเรื่องการเจริญสมถภาวนาอย่างถูกต้องก็ไม่มี แล้วจะถึงกุศลฌานได้อย่างไร เป็นเพียงอกุศลฌานเท่านั้น
ขอบพระคุณมากค่ะ
ขออนุโมทนา
ยุคนี้ เป็นยุคที่เลย กึ่ง พุทธกาลมา ๕๐ ปี แล้วครับ คนส่วนใหญ่ มีปัญญาน้อย และไม่สนใจพระธรรม กุศลจิตและอกุศลจิตในชีวิตประจำวันยังแยกไม่ได้ เรื่องของกุศลฌานจึงไม่ต้องกล่าวถึง
ฌานจิตเกิดยาก เสื่อมง่าย เช่น พระเทวทัต แค่มีจิตคิดอยากจะเป็นใหญ่ ฌานจิตก็เสื่อม เพราะฉะนั้น ฌานจิตไม่ได้ดับกิเลส ต้องเป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ถ้าเป็นอกุศลฌานยิ่งเสียเวลา ภพชาติยิ่งยาวออกไปอีก ถ้าปฏิบัติผิด ไม่ปฏิบัติเลยดีกว่า
ฌาน ที่เป็นอกุศลก็มีครับ ไม่ควรเจริญ และขณะที่ปฏิบัติก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นอกุศลฌาน
เชิญคลิกอ่าน ...
อกุศลฌาน [โคปกโมคคัลลานสูตร]
คห 3 ...
"กุศลจิตและอกุศลจิตในชีวิตประจำวัน ยังแยกไม่ได้ เรื่องของกุศลฌานจึงไม่ต้องกล่าวถึง" ตรงประเด็นค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ