ทวาร ๖ ทวารคือ ประตูหรือทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังคจิต ฉะนั้นทวารจึงเป็นทางรู้อารมณ์ของวิถีจิต ทวารมี ๖ เป็นรูป ๕ ทวารและ เป็นนาม ๑ ทวาร คือจักขุทวาร ได้แก่ จักขุปสาทรูป ๑ โสตทวาร ได้แก่ โสตปสาทรูป ๑ ฆานทวาร ได้แก่ ฆานปสาทรูป ๑ ชิวหาทวาร ได้แก่ ชิวหาปสาทรูป ๑ กายทวาร ได้แก่ กายปสาทรูป ๑ มโนทวาร ได้แก่ ภวังคุปัจเฉทจิต (ที่เกิดก่อนมโนทวาราวัชชนจิต) ๑ (ปรมัตถธรรมสังเขป : หน้า ๔๒)
ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นภวังค์จิตดวงสุดท้ายที่ตัดกระแสภวังค์ (ปรมัตถธรรมสังเขป : หน้า๓๒) ผมคิดว่าทางรู้อารมณ์ของจิตทางมโนทวารตามที่ยกมาอ้างนี้ เราอาจจะมีความเข้าใจมากน้อยต่างกัน ในขั้นการศึกษาควรที่จะเชิญท่านผู้รู้ ผู้ที่ต้องการสนทนาแสดงความคิดเห็นเป็นธรรมทานครับ ขอเชิญครับ
ตามข้อความจากปรมัตถธรรมสังเขปที่ท่านยกมาถูกต้องแล้วครับ วิถีจิตทางมโนทวารจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีภวังคุปัจเฉทะ เพราะภวังคุปัจเฉทะเกิดขึ้นดับไป วิถีจิตทางมโนทวาร คืออาวัชชะ ชวนะ ตทาลัมพนะ จึงเกิดต่อได้ดังนั้น ภวังคุปัจเฉทะ จึงเป็นมโนทวาร คือเป็นทางของจิตทางมโนทวาร (ทางใจ)
ในทางรู้อารมณ์ทั้ง ๖ ทวารนั้น วิถีจิตทางมโนทวารทุกดวงเกิดที่หทยวัตถุแตกต่างจากวิถีจิตทางปัญญจทวาร ที่มีทวิปัญจวิญญาณที่ไม่ได้เกิดที่หทยวัตถุ
ภวังคุปัจเฉทะ หมายถึงตัดกระแสภวังค์ หลังจากนั้นเป็นวิถีจิตค่ะ
ทวารที่เป็นรูป คือ ปสาทรูป ๕ เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ อาจปิดทวาร กั้นอารมณ์เสียได้ มีปิดหู ปิดตา เป็นต้น แต่ทวารที่เป็นนาม คือ ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่อาจปิดทวารได้เลย
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 4 โดย lichinda
ทวารที่เป็นรูปคือ ปสาทรูป ๕ เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ อาจปิดทวาร กั้นอารมณ์เสียได้ มีปิดหู ปิดตา เป็นต้น แต่ทวารที่เป็นนาม คือ ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่อาจปิดทวารได้เลย ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ควบคุม บังคับ ไม่ได้ เมื่อปัจจัยถึงพร้อมวิถีจิตย่อมเกิดขึ้นทำกิจทางทวารต่างๆ ไม่อาจควบคุมหรือบังคับ ด้วยอะไรๆ หรือโดยใครๆ เลย
ขออนุญาตเรียนถามคุณ lichinda ครับว่า ๑. ขณะหลับตามีการเห็นหรือไม่? ๒. ขณะปิดหูมีการได้ยินหรือไม่?
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 6 โดย Kอ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 4 โดย lichinda
ทวารที่เป็นรูป คือ ปสาทรูป ๕ เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ อาจปิดทวาร กั้นอารมณ์เสียได้ มีปิดหู ปิดตา เป็นต้น แต่ทวารที่เป็นนาม คือ ภวังคุปัจเฉทจิต เป็นทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่อาจปิดทวารได้เลย
ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ควบคุม บังคับ ไม่ได้ เมื่อปัจจัยถึงพร้อม วิถีจิตย่อมเกิดขึ้นทำกิจทางทวารต่างๆ ไม่อาจ ควบคุมหรือบังคับ ด้วยอะไรๆ หรือโดยใครๆ เลย ขออนุญาตเรียนถามคุณ lichinda ครับว่า
๑. ขณะหลับตามีการเห็นหรือไม่? ๒. ขณะปิดหูมีการได้ยินหรือไม่?
ตอบ ขณะหลับตา อารมณ์ ไม่กระทบจักขุปสาท ขณะปิดหูอารมณ์ไม่กระทบโสตปสาท ย่อมไม่เห็น ย่อมไม่ได้ยิน ขณะหลับ (จิตเป็นภวังค์) ไม่ต้องปิดอารมณ์ก็ไม่กระทบทั้ง ๖ ทวาร แม้ไม่ปิดตา ไม่อุดหู อารมณ์ที่ไม่กระทบปสาทเลยก็มี แม้ไม่ปิดตา ไม่อุดหู อารมณ์ที่ไม่กระทบปสาทเลยก็มี แต่ยังมีธรรมารมณ์กระทบใจ กุศล อกุศล ที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยอารมณ์ เกิดที่ชวนวิถีจิต มิอาจปิดกั้นทางมโนทวาร แต่มีสภาพธรรมที่ไม่เป็นกุศล สภาพธรรมที่ไม่ใช่อกุศล เกิดที่ชวนวิถีจิต
เมื่อศึกษาพระธรรมละเอียดยิ่งขึ้น จะทำให้เข้าใจว่าจักขุปสาทรูปไม่ใช่ดวงตาตามที่บุคคลทั่วไปเข้าใจกัน เพราะจักขุปสาทรูปไม่ใช่รูปที่มองเห็นได้ ดังนั้นสิ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นดวงตานั้นไม่ใช่จักขุปสาทรูป จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่กระทบสีได้ โดยเกิดดับบริเวณกลางดวงตา และสีที่กระทบจักขุปสาทนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าจะเป็นสีใดๆ จะปรากฎเป็นรูปร่างสัณฐานหรือไม่ โสตปสาทรูปเป็นรูปที่กระทบเสียงได้ โดยเกิดดับภายในหู (และไม่ใช่รูปที่มองเห็นได้เช่นกัน) เสียงเกิดขึ้นเพราะจิตหรืออุตตุเป็นสมุฏฐาน เมื่อมีปัจจัยเสียงก็เกิดขึ้นกระทบกับโสตปสาทได้
พระธรรมละเอียดลึกซึ้งรู้ตาม เห็นตามได้ยากทั้งในขั้นปริยัติ (การฟัง การอ่าน การสนทนา) และในขั้นปฏิบัติ (พิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง) หากผู้ศึกษาเป็นผู้ละเอียดก็จะพิจารณาธรรมะในขณะนี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคิดเป็นตรรกะใดๆ ทั้งสิ้นครับว่า ขณะหลับตาเห็นอะไรบ้างหรือไม่ และขณะปิดหูได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือไม่
ขอให้เจริญในธรรม
ครับคุณ K ไม่ต้องคิดเป็นตรรกะใดๆ ประจักษ์สภาพธรรมจริงๆ ขณะนี้ แต่ผมสนทนา หาความรู้ครับ ถ้าไม่กล่าวความรู้ความเข้าใจของตนออกมา ก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ถ้าผิดพึงแย้ง อย่าเกรงใจ จึงจะเป็นเวทีธรรม ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น ธรรมทานเป็นเลิศ โปรดสนทนาธรรมเถิด
ขออนุโมทนาในการเปิดใจกว้างของคุณ lichinda ครับ ดังนั้นผมขออนุญาตแสดง
ความเห็นที่ตรงขึ้นนะครับ ความเห็นที่ว่าสามารถปิดกั้นการรู้อารมณ์ทางปัญจทวารได้นั้นเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนอย่างมากครับ เพราะความเข้าใจพื้นฐานที่ผู้ศึกษาธรรมควรมีคือ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา หากคิดว่ามีตัวตน มีเครื่องมือหรือวิธีการที่สามารถบังคับสภาพธรรมะให้เป็นไปตามความต้องการได้ นั่นย่อมเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เราสามารถพิสูจน์ได้ในขณะนี้ครับว่า แม้ขณะหลับตาหรือปิดตาก็ยังมีการเห็น เช่น เห็นเป็นสีดำ เสมือนเมื่อเข้าในที่มืดสนิท เช่น ในถ้ำ แม้มืดสนิทจักขุวิญญาณก็ยังเกิดขึ้นเห็นความมืดนั้น ไม่อาจปิดกั้นการเห็นได้เลยหากปัจจัยถึงพร้อม สำหรับการอุดหูด้วยมือหรือวัตถุอย่างหนึ่งอย่างใด ก็อาจเปรียบได้กับการดำน้ำ (มีน้ำปิดหูอยู่) แม้ขณะนั้นก็ยังมีการได้ยินซึ่งปิดกั้นไม่ได้เลย (ทั้งนี้ที่ยกตัวอย่างมานี้มิใช่เพื่อให้คุณ lichinda เชื่อครับ แต่ยกมาให้เป็นตัวอย่างเพื่อการพิสูจน์ด้วยตัวเองเท่าที่จะทำได้ เพราะความเข้าใจของตัวเองสำคัญที่สุดครับ)
และในทางตรงกันข้าม หากปัจจัยไม่ถึงพร้อม เช่น กรรมไม่เป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด การเห็นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เช่นผู้ที่ตาบอดสนิทตั้งแต่เกิด ดังที่เคยสนทนากันแล้วครับว่าพระธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก เมื่อเราศึกษาด้วยความระมัดระวัง และละเอียดรอบคอบมากขึ้น ก็จะเข้าใจว่าที่มีการศึกษาและแสดงธรรมนานับประการ ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะทั้งหลายนั่นเอง
ขอเชิญศึกษาเกี่ยวกับอนัตตาเพิ่มเติมครับ
สัพเพ ธรรมมาอนัตตา อยากได้คำอธิบายจังครับ
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 67
อนัตตา : ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ 51
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา 6
สาธุครับ
แม้ขณะหลับตาหรือปิดตาก็ยังมีการเห็น เช่น เห็นเป็นสีดำ
ทำให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ ขออนุโมทนาสาธุกับกุศลจิตทุกท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลทุกประการค่ะ