ศาสนาพุทธกับดนตรี การแสดง
โดย truth  11 มี.ค. 2553
หัวข้อหมายเลข 15730

ตามพระไตรปิฏกนั้น การละเล่น หรือ ฟัง ดนตรี นั้นถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่ อีกทั้ง แสดงละคร การเดินแบบ รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่เป็นการยั่วยุให้เกิดอารมณ์ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นบาปหรือไม่ มีหลักฐานระบุเอาไว้อย่างไรจากพระไตรปิฏก ช่วยกรุณาให้ความรู้ผู้ไม่รู้ด้วยครับ



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 11 มี.ค. 2553

ขอเรียนว่า การที่บุคคลใดจะประกอบอาชีพหรือการงานประเภทใด ย่อมขึ้นอยู่ที่อัธยาศัยและการสะสม แม้การดำรงเพศก็มี ๒ อย่างคือ คฤหัสถ์ และบรรพชิต ก็เป็นไปตามอัธยาศัย ผู้ที่เป็นบรรพชิต ย่อมมีมรรยาทและความประพฤติการดำรงชีวิตต่างจากคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง ราวฟัากับดิน คือ เว้นจากกิจที่ชาวบ้านเขากระทำกัน ดังนั้น เรื่องของการละเล่น ดนตรี มหรสพต่างๆ เป็นกิจที่ชาวบ้านผู้ครองเรือน เขาทำกัน ไม่เป็นการเบียดเบียนใคร ไม่ผิดศีลของคฤหัสถ์ จึงไม่ใช่สิ่งต้องห้ามสำหรับคฤหัสถ์ ส่วนผู้ที่เป็นบรรพชิตทั้งหลายย่อมเว้นจากการละเล่น ถ้าไม่เว้นย่อมมีโทษ ผิดพระวินัย ส่วนคฤหัสถ์ผู้แสดงการละเล่น ถ้าเข้าใจผิดว่าการแสดงทำให้คนอื่นหัวเราะมีความสุข ตนเองจะได้บุญ เพราะการเล่นนั้น ความเห็นนั้น เป็นความเห็นผิด มีโทษ อนึ่งถ้าพิจารณาโดยนัยอกุศลกรรมบถ ๑๐ การละเล่นบางประเภทอาจจะเข้าข่ายทุจริตทางวาจา คือ สัมผัปปลาปะ การพูดเพ้อเจ้อ ก็ได้ ซึ่งเป็นอกุศลกรรมซึ่งมีโทษ ทำให้เกิดในอบายได้ครับ ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่

อาชีพ ดารา นักร้อง นักแสดง นักประพันธ์

ดารานักแสดงตายแล้วจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติ


ความคิดเห็น 2    โดย wannee.s  วันที่ 11 มี.ค. 2553

ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ และการสั่งสมมาแตกต่างกัน เช่น อาชีพนักร้อง ก็สามารถร้องเพลงแล้วรายได้ก็ไปช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนพิการ ให้เขามีความสุขกายสุขใจ เพราะปกติของปุถุชน ถ้าไม่เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา ก็เป็นอกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย Sam  วันที่ 13 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย พงศ์ศิริ  วันที่ 13 มี.ค. 2553

เพลงพระราชนิพนธ์หลายเพลงที่ฟังแล้วได้ความรู้สึกรื่นร่มและข้อคิดเตือนใจ เช่น แสงเทียน เนื้อเพลงบางตอนเช่น "โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้น ฯ" หรือ "ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร" และ อื่นๆ

ฟังแล้วน่าจะเป็นสิ่งเตือนใจได้ดี


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 13 มี.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 4 ใช่ครับ จริงอย่างที่ท่านกล่าวครับ

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 319

แม้ถ้าเป็นวาจานับเนื่องในภาษามิลักขะก็ดี เป็นวาจานับเนื่องในเพลงขับของเด็กหญิงผู้นำหม้อนำก็ดี วาจาเห็นปานนั้น ชื่อว่า เป็นวาจาสุภาษิต เพราะนำมาซึ่งความสุขทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ จริงอย่างนั้น ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาประมาณ ๖๐ รูป กำลังเดินทางได้ยินเพลงขับของเด็กหญิงชาวสีหล ผู้รักษาไร่ข้าวกล้าข้างทาง กำลังขับเพลงขับที่เกี่ยวด้วยชาติชราและมรณะด้วยภาษาชาวสีหล ก็บรรลุพระอรหัต ก็พึงทราบว่า เป็นวาจาสุภาษิต วาจาชื่อว่า ไม่มีโทษ ทั้งวิญญูชนผู้มุ่งประโยชน์ อาศัยแต่ใจความ ไม่ใช่อาศัย แต่พยัญชนะ ไม่พึงติเตียน เพราะเป็นวาจาสุภาษิต


ความคิดเห็น 6    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 14 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย พงศ์ศิริ  วันที่ 14 มี.ค. 2553

ขอบพระคุณ คุณpaderm ที่ให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องเพลงขับของเด็กหญิงชาวสิหล เรื่องเล่าอย่างนี้น่าจะถูกกับจริตของคนหลายคน ดิฉันเองมักเกิดความปลื้มปีติกับเรื่องเหล่านี้ นับตั้งแต่พุทธประวัติ เรื่องปรินิพพานของพระสารีบุตร แม้นิทานอิงหลักธรรมเรื่อง กองทัพธรรม ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานภาพ แต่ทั้งหลายที่กล่าวมา ถ้าไม่เคยสะสมความเข้าใจมาเลยก็คงไม่เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใดๆ ดังนั้น การฟังธรรมสำคัญนัก จริง จริง


ความคิดเห็น 8    โดย hadezz  วันที่ 15 มี.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย คุณ  วันที่ 17 มี.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย บัวขาว  วันที่ 17 มี.ค. 2553

* * * ขออนุโมทนาทุกท่านที่ใฝ่ในธรรมค่ะ * * *


ความคิดเห็น 11    โดย bsomsuda  วันที่ 17 มี.ค. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย napachant  วันที่ 12 เม.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย chatchai.k  วันที่ 7 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ