"ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์"
กราบเรียนถามอาจารย์ด้วยความตั้งใจ (ไม่ใช่อยากนะครับ) ผมอาจจะเป็นคนขี้สงสัย ด้วยประโยคที่ว่า
"ขอนอบ น้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น"
๑ กล่าวถึงคำว่า "พระองค์นั้น" มีนัยการใช้คำ และ ทำไมต้องมีคำนี้ต่อท้ายครับ ซึ่งที่ผมเข้าใจนะครับ อาจเพราะผู้ที่จะกล่าวถึงเรื่องราว หรือ คำสอนที่เกี่ยวกับพระผู้มี พระภาค จิตขณะนั้นผู้นั้นใช้กล่าวนำเพื่อ
* เป็นการขออนุญาตพระผู้มีพระภาค อีกทั้งเป็นขณะจิตที่ต้องการแสดงความเคารพนอบน้อม แด่พระองค์ที่มีความประเสริฐยิ่งกว่าผู้ใด ซึ่งบางท่านก็ใช้คำว่า "ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย" นำหน้า (เช่นการตอบคำสนทนาธรรมนี้)
ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ทำให้เห็นความงดงามของผู้ที่ใฝ่ในการศึกษาพระธรรม และ คลุกคลี กับพระธรรมนะครับ ว่าพระธรรมเอื้ออนุเคราะห์ผู้ใกล้ ให้งามทั้ง ใจ วาจา และ กาย ที่ แสดงออกมาขั้นสุดท้าย
กราบอนุโมทนาจิตที่งดงาม และ การแสดงออกที่งดงามที่เป็นตัวอย่างของอาจารย์ และ ทุกท่าน ด้วยอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นคำที่พระอริยสาวกในสมัย พุทธกาลกล่าว ไม่ใช่แต่งขึ้นมาในสมัยหลัง การกล่าวนอบน้อมบุคคลที่เลิศประเสริฐที่ สุดในจักรวาล โดยใช้คำว่า ภควา คือ พระผู้มีพระภาคอันเป็นคำที่ใช้กล่าวกับบุคคลที่ เลิศที่สุด จึงใช้คำว่า ภควา
การใช้คำว่า พระองค์นั้น (ตัสสะ) ก็อาจจะเป็นที่สงสัยว่า พระองค์ไหนซึ่งจากการที่มี ประชุมทางวิชาการของมูลนิธิและได้ค้นตรวจสอบในพระไตรปิฎก ทั้งหมดนั้นคำว่าตัสสะ คือ พระองค์นั้นไมได้มุ่งหมายเฉพาะ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น แต่หมายถึง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เพราะในความเป็นจริง เราไม่ได้ขอนอบน้อม กับพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น ผู้ใดมีพระคุณเสมอพระพุทธเจ้า ซึ่งก็มีพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและอนาคตเราก็ขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระองค์นั้นใดที่บำเพ็ญ บารมีมาเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์นั้นใดที่ตรัสรู้ดับกิเลสหมดด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้นใดที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ พระองค์นั้นใดที่เสด็จไปดีแล้ว คือ เสด็จ ไปที่ที่ดีคือพระนิพพาน เสด็จไปในทางอันดี คือ อริยมรรคมีองค์ 8 พระองค์นั้นใดที่ทรง เป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งหมด ทั้งสังขารโลกที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป โลกคือ สัตว์โลก คือ หมู่สัตว์และโอกาสโลกคือที่อยู่ของหมู่สัตว พระองค์นั้นใดที่ทรง ฝึกหมู่สัตว์ด้วยปัญญา ของพระองค์ ไม่ต้องใช้ศาสตราอาวุธแต่ด้วยการสั่งสอนพระ ธรรมของพระองค์จึงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า พระองค์นั้นใด ที่เป็น ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์นั้นใดที่เป็นผู้ตื่นแล้ว ตื่นด้วยปัญญา ไม่ต้องหลับเพราะกิเลสครับ พระองค์นั้นใดที่เป็นผู้จำแนกธรรม จำแนกพระธรรมตาม ความเป็นจริง
ดังนั้นพระคุณตามที่กล่าวมา จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เท่านั้น จึง ใช้คำว่าพระองค์นั้น หมายถึง พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่มีพระคุณตามความเป็นจริง เสมอกันหมดครับ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น (ทุกพระองค์ครับ)
สรุปคือ ที่ใช้คำว่าพระองค์นั้น เป็นการแสดงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระองค์นั้นที่กำลังกล่าวอยู่ เช่น พระองค์นั้นที่ไกลแล้วจากกิเลส พระองค์นั้นที่ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้นที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นต้นครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมครับ
กราบขอบพระคุณอย่างสูง และ อนุโมทนากุศลจิตด้วยครับ
ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ นโมตัสสะ ฯลฯ แปลว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คำว่าพระองค์นั้น หมายถึงทุกๆ พระองค์ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
(นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ)
นะโม (ขอนอบน้อม)
ภควโต (แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า) อรหโต (ผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส)
สัมมาสัมพุทธัสสะ (ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง)
ตัสสะ (พระองค์นั้น) พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคล ที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด
พระคุณของพระพุทธเจ้า แม้ในบทที่กล่าวนอบน้อม นั้น มีความละเอียดลึกซึ้งมากเริ่มจาก คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า (ภวคโต) หมายถึง ผู้ทรงหักราคะ โทสะ โมหะ และบาปธรรมทั้งหลาย ได้แล้ว, เป็นผู้ถึงที่สุดแห่งภพ, เป็นผู้คลายการไปในภพทั้งหลาย, ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ต่อไป คำว่า ผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส (อรหโต) หมายถึง เป็นผู้ดับกิเลสได้หมดสิ้น, ทำลายข้าศึกคือกิเลสเสียได้, ทำลายซี่กำแห่งสังสารจักรได้, เป็นผู้ควรได้รับทักษิณาทาน มีปัจจัย ๔ เป็นต้น และเป็นผู้ไม่มีที่ลับในการทำบาป และ คำว่า ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (สัมมาสัมพุทธัสสะ) ทรงตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา และเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงยังผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม ด้วย ความเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมอกันหมดทุกๆ พระองค์
ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง ก็มีการกล่าวคำนอบน้อม ถวายความเคารพบูชาในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน และทรงอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง
จึงสรุปได้ว่า "พระพุทธเจ้า พระองค์ใด ทรงทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ทรงห่างไกลจากกิเลส ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น" พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงประกอบด้วยพระคุณอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ และ อนุโมทนากุศลจิตทุกท่านด้วยครับ